สกู๊ปพิเศษ

8 เรื่องชวนปวดขมับจากโหมด Ranked ใน League of Legends: Wild Rift

บางอย่างชวนหัวร้อนจนต้องปิดเกมหนี

หลังจากที่เปิดตัวมาได้สักพัก League of Legends: Wild Rift ก็ได้ย่างก้าวเข้าสู่ซีซั่น 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้วในตอนนี้ แต่เรื่องนั้นก็คงไม่สำคัญเท่ากับการเริ่มฤดูกาลไต่แรงค์ครั้งใหม่ ที่ผมเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีผู้เล่นหลายคนแน่ๆ ที่ต้องกุมขมับกับการไต่อยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลจากการเจอฮีโร่ตัวใหม่ที่เก่งแบบเกินหน้าเกินตา, Meta ใหม่ที่เน้นสกิล CC จนน่าปวดหัว หรือจะเป็นปัญหายอดนิยมที่มีอยู่ในเกม Multi ทุกๆ เกมอย่างเพื่อนร่วมทีมที่น้อยครั้งจะมีดีๆ สักครั้งให้ชื่นใจ แต่นอกจากที่ผมได้กล่าวไปเราก็ลองมาดูกันดีกว่ากับ 8 เรื่องชวนปวดขมับจากโหมด Ranked ใน LoL Wildrift จะมีอะไรบ้างนั้นมาเริ่มกันเลย

1. เล่นตำแหน่งทับกัน

หากคุณเป็นสายที่เน้นกด Solo เล่นคนเดียวอยู่เป็นประจำสิ่งแรกที่ทุกคนจะต้องเจอ ก็คงไม่พ้นผู้เล่นที่แย่งตำแหน่งกันซึ่งใน League of Legends: Wild Rift ตำแหน่งยอดนิยมที่ใครหลายคนต่างแย่งกันก็คือ Mid lane ตำแหน่งที่สามารถชี้ชะตาแพ้ชนะของเกมที่จะต้องใช้ฝีมือในการเล่นลำดับต้นๆ นอกจากนั้นตัวฮีโร่ Mid lane ส่วนใหญ่จะมีสกิลที่รุนแรง, สกิล Mobility ที่พลิ้วไหวและที่สำคัญตัวละครหลายๆ ตัวก็มีความเท่เป็นเอกลักษณ์ชวนให้เล่นแบบสุดๆ แต่การที่เราจะต้องเจอผู้เล่นหลายๆ คนสแปม I’’ll go mid หลายๆ ครั้งมันก็ชวนให้เรากุมขมับก่อนเกมจะเริ่มจริงๆ

2. ผู้เล่นสุด Toxic ที่มาพร้อมกับสกิลปากของเขา

เรียกได้ว่าเป็นของที่มาคู่กับเกมออนไลน์ทุกๆ เกมไม่ว่าแนวไหน ขอแค่มันเป็นเกมที่ต้องเล่นร่วมกับคนอื่นการมีผู้เล่นนิสัยไม่ดีหรือ Toxic Player ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ยิ่งในกรณีของ League of Legends: Wild Rift ที่เป็นเกม MOBA ก็แทบจะเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีผู้เล่นแบบนี้อยู่ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นการเจอผู้เล่นทรงๆ นี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่เพราะหลายๆ ครั้งผู้เล่นสาย Toxic มักจะมีสมาธิกับการพิมพ์แชทมากกว่าการเล่นจริง ทำให้การปะทะกับเหล่าศัตรูมักจะขาดคนเสมอ อย่างกรณีที่ผมเจอก็คือพี่แกลงทุนยืนพิมพ์จนโดนฆ่าตายในเลนเลยทีเดียว (คือถึงมันจะฮาแต่มันก็ทำให้เกมแพ้อ่ะนะ)

3. ไม่แคร์ Objective พี่ขอบวกขอฟาร์มนะน้อง

สำหรับปัญหานี้อาจจะเจอในแรงค์ที่ต่ำลงไปนั่นก็คือการที่ผู้เล่นไม่สนใจ Objective ไม่ว่าจะเป็นการดันป้อม, เก็บมังกร หรือตีบารอน ซึ่งโดยส่วนตัวจากที่ผมไต่ขึ้นมาตั้งแต่แรงค์ Silver จนถึง Gold ในตอนนี้ผมก็ยังเห็นปัญหาเหล่านี้อยู่ครบถ้วน โดยเฉพาะมังกรที่หลายๆ ครั้งก็มักจะถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ จนเกมเสียเปรียบ หรือจะเป็นการตีบารอนที่หลายๆ ครั้งก็มักจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ทั้งๆ ที่มีจังหวะในการตีได้แต่ก็ไม่ทำ เป็นผลให้หลายครั้งจากเกมที่ได้เปรียบก็ถูกสวนแพ้ได้ในจังหวะเดียว (ผมเจอบ่อยเลยล่ะแบบนี้)

4. Matchmaking ที่จะดีจะร้ายแล้วแต่อารมณ์

หากคุณเป็นคนที่เล่น League of Legends: Wild Rift อยู่เป็นประจำ (โดยเฉพาะโหมด Ranked) ก็คงจะทราบกันดีว่าถึงแม้ตัวเกมจะอัปเดตใหม่เป็น SS 1 ระบบ Matchmaking ของ Wildrift มันก็ยังคงเป็นอะไรที่ย่ำแย่เช่นเคย และถ้าถามว่ามันหนักขนาดไหนมันก็หนักแบบชนิดที่ตานึง เราอาจจะได้ทีมที่โหดมากๆ เล่นได้ไม่นานคะแนนก็นำกันเป็น 10 แล้วแต่ในทางกลับกันมันก็มีอยู่หลายครั้ง (และน่าจะบ่อยกว่ากรณีแรก) ที่เรามักจะสุ่มเข้าไปอยู่ในทีมที่มีผู้เล่นฝีมือไม่ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งมันก็มีตั้งแต่เล่นแบบพอถูๆ ไถๆ ที่ถ้าคุณเล่นดีก็อาจจะพอแบกได้ ไปจนถึงกรณีหนักๆ อย่างการเจอผู้เล่น Toxic หลายๆ คนในทีมเดียวกันจนยากเกินกว่าจะแบกไหว

5. การ Pick ฮีโร่ไม่ตรงสถานการณ์

การ Pick และ Counter Pick เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเกม MOBA ที่ฮีโร่ทุกตัวจะมีทั้งตัวที่ได้เปรียบและเสียเปรียบแตกต่างกันซึ่งใน League of Legends: Wild Rift ก็เช่นกันที่ฮีโร่ทุกตัวจะทั้งตัวชนะทางและตัวแก้ทางอยู่เสมอไม่ว่าตัวนั้นจะ OP แค่ไหนก็ตามแต่ถึงจะพูดอย่างนั้นพอเอาเข้าจริงๆ ในการกด Soloque เราก็มักจะเจอคนเลือกตัวฮีโร่แบบโนสนโนแคร์อยู่เป็นประจำ ซึ่งถ้าคนคนนั้นเป็น One trick (เล่นฮีโร่ตัวเดียว) ที่ฝีมือดีมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ที่เราเจอมันก็ไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ “-_-

6. ไม่มีคนเล่น Support

ในกรณีนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาโลกแตก ที่ต่อให้คุณอยู่แรงค์ไหนก็ต้องมีเจอกันบ้างนั่นก็คือการที่เกมๆ นั้นขาดตัว Support ไปแต่ปัญหานี้จริงๆ มันก็แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการที่เราเลือกเล่นซัพเสียเอง แต่บางทีมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะใน League of Legends: Wild Rift เมื่อผู้เล่นได้กดเข้าร่วมห้องเข้ามา ตัวเกมจะทำการซุ่มลำดับผู้เล่นในการเลือกตัว ซึ่งถ้าเราได้เลือกก่อนก็คงต้องเลือกตัวฮีโร่ในตำแหน่งถนัดที่สุดเป็นอย่างแรกและถ้าดีๆ หน่อยก็อาจจะมีบอกกันล่วงหน้าว่าตัวเองจะเล่นตำแหน่งอะไร แต่ส่วนใหญ่มันก็มักจะมีผู้เล่นคนสองคนที่ไม่โต้ตอบใดๆ กับคนอื่น และก็อาจจะจบด้วยการเลือกตัวตามใจเป็นผลให้ตอนเล่นจริงๆ เราก็อาจเห็น 2 ADC หรือ 2 Jungle ก็เป็นได้ (ป่าสองนี่ผมเจอมาสดๆ เลย)

7. ความไม่ยืดหยุ่นของผู้เล่นบางคน

ในเกม MOBA ทุกๆ เกมหากคุณเป็นผู้เล่นสาย Solo ก็คงจะทราบกันดีว่าการเล่นฮีโร่ให้ได้ครบทุกตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ในเกมแบบไหน เราก็พร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของทีมได้เสมอ แต่มันก็ใช่ว่าผู้เล่นทุกคนจะมีความยืดหยุ่นไปซะทุกราย เพราะจากประสบการณ์การเล่นของผมมันก็มีอยู่หลายครั้ง ที่จะมีผู้เล่นคนหนึ่งที่เล่นเป็นอยู่ตำแหน่งเดียว ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องแย่เลยถ้าเขาถนัดแบบสุดทาง แต่ส่วนมากที่ผมเจอก็มักจะเป็นผู้เล่นหัวแข็ง ที่ไม่ยอมโยกไปเล่นฮีโร่ตำแหน่งอื่นเท่านั้นเลย (คือผมเข้าใจว่า Mid มันสนุกอ่ะนะ)

8. ปัญหาเรื่องการสื่อสาร

และสำหรับข้อสุดท้ายในวันนี้ก็คือปัญหาที่คุณล้วนต้องเจอทุกเกมแน่ๆ หากคุณกดแบบ Solo หรือมาแบบไม่ครบทีมนั่นก็คือปัญหาเรื่องการสื่อสาร ซึ่งต่อให้ตัวเกมจะมีระบบ Ping และ Quick Chat ให้ใช้แต่พออยู่ในเกมก็มีน้อยคนที่จะใช้มันในการสื่อสารจริงๆ (บางทีก็ใช้ในการไล่คนอื่นด้วย) ทำให้ในการลงแรงค์แต่ละทีก็ต้องมานั่งเสี่ยงดวงว่าทีมไหนจะ Teamwork ดีกว่ากัน เพราะต่อให้ทีมเรามีคนเก่งมากแค่ไหนก็ตามแต่ การชนะด้วยตัวคนเดียวก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เช่นเคย (ยิ่งใน Meta นี้ที่เน้น Teamfight ก็บอกเลยว่ายากสุดๆ )

ถึงแม้จะกล่าวถึงเรื่องชวนปวดหัวมาหลายข้อ แต่เอาจริงๆ ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า League of Legends: Wild Rift เป็นอีกหนึ่งเกม MOBA ชั้นดีอีกหนึ่งรายที่ชวนให้ติดพันใช่ย่อย เพราะด้วยความที่มันเป็นเกม MOBA ขนาดพกพาที่เล่นที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้, ความยาวของเกมที่ไม่ยาวจนเกินไป (สำหรับผมอ่ะนะ) และที่สำคัญก็คือระบบการเล่นที่น่าจะละเอียดที่สุดแล้วสำหรับ Moba มือถือ (ถ้าไม่นับ Vainglory ) ซึ่งด้วยองค์ประกอบเหล่านี้มันก็มากพอที่จะทำให้ผม พอที่จะมองข้ามเรื่องชวนปวดที่เจอระหว่างการเล่นได้อยู่ไม่น้อย แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือแบบอื่นๆ ก็สามารถมาแชร์กันได้นะครับ

Back to top button