แม้ตัวเครื่องจะมีข้อจำกัดด้านกราฟิกและประสิทธิภาพที่อาจจะไม่แรงเท่าเครื่องคอนโซลอื่น ๆ ในตลาด แต่ Nintendo Switch ก็เป็นเครื่องคอนโซลที่มีความโดดเด่นในการพกพาไปเล่นได้ทุกที่ อีกทั้งยังมีเกมให้เลือกเล่นมากมายหลายแนว รวมไปถึงเครื่องเล่นเกมนี้ก็มีเกมแนว Open World ที่น่าสนใจให้ได้ลองเล่นอยู่หลายเกม และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาพบกับ 10 เกม Open World น่าเล่นบนเครื่องเล่นเกมเครื่องนี้กันครับ
1. The Legend of Zelda: Breath of the Wild
Nintendo รู้ดีว่าต้องสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงกับเกมแรกบน Nintendo Switch และพวกเขาก็ทำได้สำเร็จด้วยหนึ่งในเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง The Legend of Zelda: Breath of the Wild แม้ว่าซีรีส์นี้เคยมีแนวทางแบบโลกกว้างมาก่อนหน้านี้ แต่เกมนี้คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเกมแนว Open World ที่ทำให้แฟนเกมติดงอมแงม
ภายในเกมนี้คุณจะได้เล่นเป็น Link เวอร์ชั่นที่พักฟื้นมานาน 100 ปี หลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงโดยภัยพิบัติ Ganon ตอนนี้คุณต้องลุกขึ้นมาฟื้นกำลัง และเดินทางไปทั่วดินแดน Hyrule ตามใจชอบเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและช่วยเหลือ Princess Zelda ให้ได้
2. The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom
จะทำอย่างไรที่จะทำให้เกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกมหนึ่งพัฒนาไปอีกขั้น? คำตอบคือการนำสิ่งที่ดีอยู่แล้วมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และThe Legend of Zelda: Tears of the Kingdom เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของเกมแนว Open World โดยได้เพิ่มพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ Link ได้สำรวจ เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ที่ทำให้การสร้างไอเทมและการเดินทางสนุกยิ่งกว่าเดิม แถมเกมนี้ยังมาพร้อมเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งมากขึ้น
ทุกอย่างในเกมนี้ได้แสดงความเคารพเกมภาคก่อนหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เกมนี้เป็นการอัปเกรดที่แท้จริงและยืนหยัดด้วยตัวเอง การเดินทางเพื่อหยุด Ganondorf และค้นหาความจริงเกี่ยวกับ Princess Zelda ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบ
3. Burnout Paradise Remastered
Burnout Paradise Remastered ตอบโจทย์นั้นได้ เป็นเกมแข่งรถบน Switch ที่ให้ความรู้สึกแบบ Open World ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกมหนึ่ง และเนื่องจากเป็นเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ ทำให้เกมนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดสำหรับคุณอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยในเกมนี้ คุณสามารถขับรถและแข่งรถได้ตามใจชอบ ถ้าอยากแข่งรถในเมือง ผ่านเมือง รอบเมือง หรืออะไรก็ตามที่คุณชอบ คุณสามารถทำได้ นอกจากนี้เกมนี้ยังโด่งดังในเรื่องระบบการชนให้เละ! ดังนั้น จงรับมือกับความท้าทายตามใจชอบ และอย่ากลัวที่จะพังรถของคุณ!
4. Red Dead Redemption
คุณพร้อมจะเป็นคาวบอยหรือยัง? ใน Red Dead Redemption คุณเป็นคาวบอยที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมภารกิจกำจัดกลุ่มนอกกฎหมายที่คุณเคยร่วมแก๊ง และนั่นหมายความว่าคุณจะต้องเดินทางข้ามดินแดนตะวันตกเพื่อกำจัดพวกมันเพื่อที่จะได้มีชีวิตอย่างสงบ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวมันไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะดินแดนอันไร้กฎหมายเหล่านี้เต็มไปด้วยอันตราย คุณจะต้องระวังตัวและว่องไวในการชักปืนหากต้องการเอาชีวิดรอดในแดนเถื่อนนี้ให้ได้
5. Dragon Ball Z: Kakarot
เกมนี้เพิ่งได้รับ DLC อันสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าเป็นเวลาที่สมบูรณ์แบบที่จะเริ่มเล่นเกม Dragon Ball Z: Kakarot เกมที่ให้คุณได้สัมผัสกับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแฟรนไชส์ที่เปลี่ยนแปลงวงการเกม และให้คุณได้ติดตามเรื่องราวการ์ตูนชื่อดังแบบเชิงลึกสุด ๆ
ในฐานะ Goku คุณจะเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก ต่อสู้กับศัตรู สนทนากับพันธมิตร และฝึกฝนตัวเองเพื่อเป็นนักรบที่เก่งที่สุดในโลก อีกทั้งใน DLC คุณจะได้สัมผัสอดีตและอนาคตของการ์ตูนเรื่องนี้ ทำให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งหากคุณเป็นแฟนของซีรีส์นี้ คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!
6. Dragon Quest Builders 2
ใน Dragon Quest Builders 2 คุณจะเป็นหนึ่งในผู้สร้างโลกเพียงไม่กี่คน และต้องต่อสู้กับระบอบการปกครองที่พยายามขัดขวางการกระทำดังกล่าว! คุณไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างโลกใหม่ แต่คุณจะใช้ทักษะของคุณต่อสู้กับศัตรูและหาพันธมิตร โดยจุดเด่นของเกมนี้ก็คือการผสมผสานเกมแนวการสร้างเข้ากับเกมแบบ Open World ได้อย่างลงตัวแบบไม่น่าเชื่อ
7. Super Mario Odyssey
ถึงแม้ว่า Super Mario Odyssey ไม่ใช่เกม Open World แบบ 100% แต่เกมนี้ให้คุณสำรวจอาณาจักรได้ตามต้องการและสไตล์ของคุณเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบเกม Open World ประเภทหนึ่งเช่นกัน
อย่างที่คุณอาจเดาได้แล้ว Bowser ได้ลักพาตัว Princess Peach และมันขึ้นอยู่กับ Mario และพันธมิตรใหม่ของเขาอย่าง Cappy ที่จะเดินทางข้ามอาณาจักรใหม่ ๆ และเพิ่มพลังให้กับเรือเพื่อโค่นบอส Koopa โดยตลอดการผจญภัยนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็มีดวงจันทร์ให้เก็บสะสมมากมาย และคุณสามารถเก็บได้ตามลำดับที่คุณต้องการ
8. Pokémon Legends Arceus
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่แฟรนไชส์ RPG นี้จะได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบ Open World ที่ผู้เล่นหลายคนต้องการ แม้ว่า Pokémon Legends Arceus จะไม่ใช่เกม Open World อย่างเต็มรูปแบบ แต่การออกแบบกึ่ง Open World ทำให้เกมนี้เป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดในซีรีส์ คุณจะไปยังส่วนต่าง ๆ ของภูมิภาค Hisui และมีอิสระในการต่อสู้ด้วยโปเกมอน นอกจากนี้คุณจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าโปเกมอนได้อย่างไม่เคยมีมาก่อนซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และดีสุด ๆ
9. Pokémon Scarlet & Violet
Pokémon Scarlet & Violet เป็นเกมที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Pokémon Legends Arceus ที่ทำให้โลกที่เปิดกว้างของเกมก่อนหน้านี้กลายเป็นโลกเปิดกว้างที่สมบูรณ์แบบอย่าง Paldea โดยหลังจากลงทะเบียนเข้าเรียนที่สถาบันและได้รับโปเกมอนตัวแรก คุณสามารถเลือกออกผจญภัยไปในทิศทางใดก็ได้และพยายามจบเรื่องราวหลักทั้งสามเรื่องได้ตามที่ต้องการ แน่นอนว่าอิสรภาพนี้ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นกับพื้นที่และโปเกมอนที่คุณพบเจอตลอดทาง อย่างไรก็ตามเกมนี้ยังมีปัญหาในด้านประสิทธิภาพของเกมทำให้การเล่นเกมนี้สนุกแต่ไม่สมูธไปเสียหน่อย
10. ซีรีส์ Xenoblade Chronicles
ซีรีส์ Xenoblade Chronicles หนึ่งในตำนานเกม RPG ที่ยอดเยี่ยมที่สุด Monolith Soft ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งใน 3 ภาคที่วางจำหน่ายบน Switch ฉะนั้นจะให้เลือกแค่ภาคใดภาคหนึ่งมาเขียนก็คงไม่แฟร์เท่าไหร่นัก เพราะเกมทั้ง 3 ภาคล้วนมีโลกกว้างใหญ่ให้ผู้เล่นได้สำรวจไปในทุกทิศทาง มีเควสย่อย สัตว์ประหลาดให้ต่อสู้ และความลับรอคอยการค้นพบมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวที่น่าสนใจทำให้โลกในเกมมีชีวิตชีวา หากคุณยังไม่เคยเล่นซีรีส์นี้ คุณรีบมาเล่นโดยด่วน!
ทั้งหมดนี้คือ 10 เกม Open World น่าเล่นบน Nintendo Switch หากผู้อ่านคนใดมีเกมอื่นอยากนำเสนอ หรืออยากคอมเมนต์พูดคุยกันเพิ่มเติมก็สามารถมาได้ที่คอมเมนต์ด้านล่างนี้เลยครับ ในขณะเดียวกันหากผู้อ่านคนใดต้องการติดตามข่าวทั้งหมดของ This Is Game Thailand ก็สามารถมาได้ที่นี่ครับ >>>คลิก<<<