[รีวิว] Rise of the Ronin – ซามูไรนิรนาม ตะลุยสงครามปลายยุคเอโดะ
เกม Action RPG Open World ที่มาพร้อมการต่อสู้สไตล์ Souls ที่ทุกคนเข้าถึงได้
Rise of the Ronin เป็นเกมแอ็กชั่นโลกเปิดที่ให้ผู้เล่นสร้างตัวละครซามูไรนิรนามขึ้นมา ตะลุยแดนปลาดิบในช่วงเวลาปลายยุคเอโดะท่ามกลางสงครามโบชินระหว่างกองทัพของโตกุกาวะกับกลุ่มต่อต้านอิทธิพลตะวันตก ผู้เล่นจะได้พบกับเมืองขนาดใหญ่ เนื้อเรื่องการทรยศหักหลังที่เข้มข้นผ่านกราฟิกสวยงามและฉากฟาดฟันที่สมจริง[รีวิว] Rise of the Ronin – ซามูไรนิรนาม ตะลุยสงครามปลายยุคเอโดะ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และถ้าหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยหลังจากที่รีวิวเผยแพร่ไปแล้วก็เป็นได้ครับ
โหมดตัวเลือกกราฟิก 3 โหมดที่ดีต่อใจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากราฟิกภายในเกมนี้ถูกทำออกมาได้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยพื้นฐานและกราฟิกภายในเกมนี้ถูกทำออกมาได้ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลตัวละคร สภาพแวดล้อม หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็รู้สึกประทับใจอนิเมชั่นของ NPC ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นอาการกลัวที่เห็นเราชักอาวุธออกมา หรือวิ่งเอามือบังหัวตอนฝนตก ซึ่งทำให้เกมนี้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริง ๆ คือตัวเลือกกราฟิกทั้ง 3 แบบ ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นตัวเลือกกราฟิกที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเริ่มต้นจากโหมด FPS ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมได้ในระดับ 60FPS ได้สบาย ๆ ในขณะที่โหมดคุณภาพจะทำให้ภาพของเกมคมชัดขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับ Motion Blur ที่ชัดเจนขึ้น แต่เล่นได้ที่ 30FPS เท่านั้น และโหมดที่ 3 ที่ผู้เขียนเซอร์ไพรส์มาก ๆ ก็คือโหมด Ray Tracing ที่จะทำให้เกมนี้เปิดใช้ Ray Tracing ที่ทำให้แสงเงาภายในเกมนี้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วย FPS ที่ไม่ลื่นไหลเท่าโหมด FPS และมีความแกว่งกว่าโหมดคุณภาพในระดับหนึ่ง
แต่ที่ผู้เขียนเซอร์ไพรส์มากกว่านั้นก็คือ ผู้เล่นสามารถปลดล็อคการจำกัด FPS ในการเล่นโหมดกราฟิกและโหมด Ray Tracing ได้ นั่นแปลว่าผู้เล่นจะได้มีโอกาสเล่นเกมที่กราฟิกสวย และมี FPS สูงกว่า 30 ได้ด้วย โดยผู้เขียนได้ทดลองปลดล็อค FPS ในการเล่นทั้งสองโหมดดูก็พบว่าการเล่นเกมลื่นไหลกว่าเดิมอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ลื่นไหลเท่าโหมด 60FPS อยู่ดีครับ ซึ่งในโหมดคุณภาพแบบปลดล็อค FPS ก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี ทำให้เราได้เล่นเกมที่มีกราฟิกคมชัดขึ้น ในแบบที่ FPS สูงขึ้นในระดับหนึ่ง ในส่วนของโหมด Ray Tracing ที่ปลดล็อค FPS ก็ถือว่าทำได้ลื่นไหลไม่แพ้โหมดกราฟิก แต่ทั้ง 2 โหมดนี้ผู้เขียนพบว่ามีบางจุดที่มีการแสดงผลกราฟิกเยอะ ๆ (โดยเฉพาะแม่น้ำ) จะมีอาการหน่วงให้เราได้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นเกมโดยรวมเท่าไหร่ ผู้เขียนได้แต่หวังว่าในอนาคตจะมีแพทช์ออกมาทำให้โหมดคุณภาพและโหมด Ray Tracing เล่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
ระบบการสร้างตัวละครที่น่าสนใจ
ภายในเกมนี้ผู้เล่นจะสามารถสร้างตัวละครได้ในระดับหนึ่ง โดยถึงแม้ว่า Team Ninja เคยยืนยันมาก่อนว่าตัวเอกของเกม Action RPG นี้จะเป็นตัวละครที่มีตัวตนสมบูรณ์พร้อมกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ชัดเจน แต่เกมนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสร้างตัวละครได้ค่อนข้างลึกพอสมควรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้เล่นสามารถปรับแต่งหน้าตา รูปร่าง เส้นผม เสียง รวมไปถึงเปลี่ยนเพศของตัวละครไปเลยก็ได้ ซึ่งเรียกได้ว่าน่าสนใจมาก ๆ
นอกจากนี้ผู้เล่นสามารถเลือกคลาสของตัวละครได้ด้วย ซึ่งตัวละครแต่ละคลาสก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไปทั้งในด้านของสกิล, ค่าสถานะ รวมไปถึงอาวุธประจำตัว อย่างไรก็ตามผู้เล่นไม่ต้องกังวลใจไปครับ เพราะการเลือกสายนี้เป็นเพียงแค่เบื้องต้นเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อผู้เล่นเล่นเกมไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นจะได้สะสมแต้มที่เรียกว่าผลกรรมซึ่งได้จากการกำจัดศัตรู และทำภารกิจต่าง ๆ เพื่อใช้อัปเกรดสกิลของตัวละครที่สนใจได้โดยไม่มีข้อจำกัดในแง่ของการห้ามอัปเกรดแต่อย่างใด รวมไปถึงอาวุธของผู้เล่นก็สามารถเปลี่ยนไปใช้อาวุธที่อยู่นอกเหนือความถนัดของสายอาชีพได้ด้วย เรียกได้ว่า “ทางเลือกแรกแค่จุดเริ่มต้น การเติบโตของตัวละครเป็นสิ่งที่เราเลือก” นั่นเองครับ
เกมเพลย์สำรวจในโลกกว้างแบบไร้รอยต่อ
ในส่วนของเกมเพลย์สำรวจโลกกว้างนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเกมที่ผู้เล่นทุกคนจะต้องประทับใจ เพราะถ้าหากจะให้พูดถึงการสำรวจโลกแบบ Open-World หลายคนก็คงนึกถึงการสำรวจโลกที่ไร้รอยต่อไม่มีหน้าจอโหลดให้วุ่นวาย ซึ่งเกมนี้สามารถทำออกมาได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยตลอดการสำรวจผู้เล่นสามารถปลดล็อคพื้นที่ใหม่ใหม่ได้เรื่อย ๆ และเมื่อผู้เล่นปลดล็อคแล้วผู้เล่นสามารถเดินทางไปมาข้ามพื้นที่ได้อย่างทันท่วงทีไม่มีการโหลดหน้าจอ รวมไปถึงผู้เล่นสามารถใช้การเดินทางแบบ Fast Travel ได้สบาย ๆ อีกด้วย ทำให้ผู้เขียนมองว่าการสำรวจโลกแบบไร้รอยต่อเป็นอะไรที่ดีต่อใจสุด ๆ
ที่ดีไปกว่านั้นก็คือนอกเหนือจากการสำรวจด้วยการเดินเท้าเปล่า ภายในเกมนี้ยังมีม้าให้ผู้เล่นได้ใช้งาน และที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษก็คือระบบการขี่ม้าอัตโนมัติที่ทำออกมาได้ดีมาก โดยผู้เล่นสามารถเลือกจุดหมายปลายทางเพื่อให้ตัวละครของผู้เล่นเดินทางไปยังจุดหมายด้วยตัวเองได้ โดยตลอดการเดินทางตัวละครของผู้เล่นจะทำการเก็บวัตถุดิบที่อยู่ใกล้ตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่เพอร์เฟกต์เสมอไป เพราะผู้เล่นก็ควรจะต้องระวังไว้เล็กน้อยเนื่องจากการเดินทางอัตโนมัติเน้นไปที่ “การเดินทาง” จริง ๆ บางครั้งตัวละครของเราอาจจะวิ่งฝ่ากองโจรแล้วโดนกองโจรรุมตีตายก็เป็นได้ หรือบางครั้งหากเป้าหมายนั้นไม่สามารถเดินไปได้ด้วยเท้าเปล่าหรือขี่ม้าไป หรือบางครั้งอาจจะมีอุปสรรคบางอย่างขวางทางอยู่ ก็จะทำให้ตัวละครของเราหยุดนิ่งไม่เคลื่อนที่ต่อแบบอัตโนมัติก็ได้
และที่สำคัญไปมากกว่านั้นนอกเหนือจากการเดินทางและขี่ม้าแล้ว ผู้เขียนยังเซอร์ไพรส์ที่ภายในเกมนี้มีเครื่องร่อนให้ผู้เล่นได้ใช้งานด้วย (แถมยังใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของเกมอีกต่างหาก) นั่นแปลว่าผู้เล่นสามารถปีนขึ้นไปบนที่สูงแล้วกระโดดลงมาแล้วใช้เครื่องร่อนบินไปรอบ ๆ พื้นที่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง ซึ่งจุดนี้ทำให้การเดินทางภายในเกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมคำว่า “โลกเปิดกว้างที่อิสระ” ได้อย่างแท้จริง
เกมเพลย์ที่ท้าทายแต่เข้าถึงได้
เกมเพลย์ต่อสู้ภายในเกมนี้ถือได้ว่าเป็นจุดที่สำคัญที่สุดที่ผู้เขียนอยากจะนำเสนอ เพราะผู้เขียนรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้ภายในเกมนี้ เพราะว่าแว๊บแรกที่ได้เห็นเกมนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมนี้น่าจะเป็นเกมแอ็กชั่น Hack ’n Slash ฟันเลือดสาด หรืออย่างน้อยใช้การกระโดดหลบหรือปกป้องบ้างเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่เมื่อผู้เขียนได้สัมผัสกับเกมนี้จริง ๆ บอกได้เลยว่ามันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิดอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่ผู้เขียนเจอก็คือเกมเพลย์ต่อสู้สไตล์ Souls ที่ศัตรูของผู้เล่นบอกได้เลยว่าโหดเอาการเลยทีเดียว ฉะนั้นเกมนี้ไม่ใช่เกมที่ผู้เล่นสามารถเดินหน้าฆ่าศัตรูได้สบาย ๆ อีกต่อไป แต่เป็นเกมที่ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องจับจังหวะ คอยปกป้องการโจมตีของศัตรู หรือหลบหลีกท่าไม้ตายของศัตรูให้ได้
เมื่อมาถึงจุดนี้ผู้อ่านหลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่า “แล้วเราจะเล่นเกมนี้ไหวหรือไม่” ผู้เขียนกล้าการันตีว่าต่อให้ผู้ที่เล่นเกม Souls ไม่รอด (อย่างผู้เขียนเป็นต้น) ก็สามารถเล่นเกมนี้ได้ และถ้าหากจะให้ผู้เขียนจำกัดความเกมเพลย์ต่อสู้ภายในเกมนี้ ผู้เขียนคงพูดได้ว่าเกมนี้ “เป็นเกมที่มีความท้าทายที่เข้าถึงได้” หรือหากจะให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “ก้าวแรกของคนที่อยากสัมผัสเกมแนว Souls”
ความยากของเกมนี้สามารถปรับได้ทั้งหมด 3 ระดับ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นแล้ว ผู้เขียนอยากแนะนำว่าหากใครไม่ถนัดเล่นเกมสไตล์ Souls จริง ๆ การปรับระดับไว้ที่ง่ายถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะผู้เล่นสามารถปรับให้ตัวละครพกยาได้เยอะขึ้นหรือโดนดาเมจจากการโจมตีน้อยลงได้ แต่ผู้เล่นก็ยังไม่สามารถเดินหน้าฆ่ามัน หรือสแปมปุ่มโจมตีรัว ๆ ได้ เพราะจะมีเกจปราณควบคุมเราอยู่ ซึ่งเกจปราณนี้จะลดลงทุกครั้งเมื่อผู้เล่นป้องกันหรือโจมตี ซึ่งหากเกจหมด เราจะไม่สามารถโจมตีได้ และจะกลายเป็นเป้านิ่งไปชั่วขณะ ซึ่งโหมดง่ายนี้ผู้เขียนมองว่าเปรียบเสมือนกับโหมดที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ศึกษาเกมเพลย์ที่เป็นหัวใจหลักของเกมนี้นั่นเอง
และเมื่อผู้เล่นเริ่มชินมือแล้วผู้เขียนขอแนะนำให้เล่นในโหมดความยากระดับปานกลาง ที่ผู้เขียนมองว่า “แค่นี้ก็ยากแล้ว” สำหรับคนที่เล่นเกมสไตล์ Souls ไม่เก่ง เพราะการปัดป้องพลาดเพียงไม่กี่ครั้งอาจจะทำให้ผู้เล่นสู่ขิตได้ แต่ผู้เล่นไม่ต้องกังวลใจเพราะเกมนี้ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นว่าฟัน 1-2 ทีตายเหมือนเกม Souls โดยตลอดการต่อสู้ผู้เล่นยังมีโอกาสได้ใช้ยาเพื่อเพิ่มพลังหรือใช้ไอเทมอื่น ๆ เพื่อใช้เพิ่มสมรรถนะในการต่อสู้ของตัวละครได้ เพียงแค่ผู้เล่นจะต้องวางแผนการต่อสู้ให้ดี หลบเลี่ยงการโดนรุมให้ได้มากที่สุด และในโหมดยากที่สุดก็ไม่ต้องถามให้มากความครับมันคือเกมน้อง ๆ Souls ที่สายฮาร์ดคอจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน
นอกเหนือจากเกมเพลย์แอ็กชั่นสไตล์ Souls แล้ว อีกหนึ่งเกมเพลย์ที่มีให้ผู้เล่นได้ใช้งานและถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการเล่นเกมนี้ก็คือ “การลอบสังหาร” เพราะอย่างที่ผู้เขียนได้บอกไปว่าการโดนรุมภายในเกมนี้ไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะหากผู้เล่นโดนรุมเมื่อไหร่ ต่อให้เล่นโหมดง่ายก็ตายได้ง่ายเช่นกัน ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือการที่ผู้เล่นค่อย ๆ ย่องไปใกล้ ๆ ศัตรูแล้วลอบสังหารพวกมันให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะเริ่มเผชิญหน้ากับศัตรูแบบตรง ๆ ซึ่งหากผู้เล่นทำได้ก็จะทำให้การเล่นเกมนี้สนุกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากผู้เล่นตายไปผู้เล่นจะเสียแต้มผลกรรมที่สะสมมาทั้งหมด แต่ผู้เล่นก็ไม่ต้องกังวลใจไปครับ เพราะเกมนี้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ชิงคืนมาด้วยการเข้าต่อสู้กับศัตรูที่เอาชนะเราให้ได้อีกครั้ง โดยถ้าเราสามารถล้มมันได้ หรือแค่โจมตีคริติคอลพวกมันได้ ผู้เล่นก็จะได้แต้มผลกรรมกลับมาทันที แต่ต้องระวังนิดหน่อยก็คือหากผู้เล่นพลาดท่าตายอีกครั้ง ผลกรรมนี้จะหายไปทันที
โดยรวมแล้วเกมนี้ถือว่าผสมผสานการลอบเร้นและการต่อสู้สไตล์ Souls ออกมาได้อย่างลงตัวและน่าประทับใจ โดยผู้เขียนขอย้ำว่าหากใครที่กำลังกังวลว่าจะเข้าไม่ถึงเกมนี้ ผู้เขียนอยากให้ลองเล่นในโหมดง่ายดูก่อนรับรองว่าเข้าถึงได้สบาย ๆ แน่นอน
สรุปรีวิว Rise of the Ronin
ผู้เขียนอยากแนะนำให้ผู้เล่นที่ไม่มั่นใจว่าจะเล่นเกม Souls รอดหรือไม่ได้ลองเกมนี้ดูครับ เพราะเกมนี้เองเปรียบเสมือนก้าวแรกของเกมสไตล์ Souls จริง ๆ แถมมาพร้อมโลกที่เปิดกว้าง และเนื้อหาที่น่าติดตาม แม้ว่าในตอนนี้อาจจะยังมีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการเล่นเกม และผู้เขียนเชื่อว่าแพทช์ต่อ ๆ ไปในอนาคตจะทำให้เกมนี้สมบูรณ์แบบจนกลายเป็นเกมที่น่าติดตามมากที่สุดเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 8.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
– มีภาษาไทยให้ใช้งานแบบครบระบบ
– ระบบการสร้างตัวละครที่ดี ที่มาพร้อมระบบพัฒนาตัวละครได้ตามใจ
– กราฟิกสวยงามในระดับที่น่าพอใจตามสไตล์ TEAM NINJA
– เกมเพลย์สำรวจโลกที่เปิดกว้างจริง ๆ
– เกมเพลย์ต่อสู้สไตล์ Souls ที่ทุกคนเข้าถึงได้
– ระบบเกมเพลย์อื่น ๆ ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว
ข้อสังเกต
– ยังมีอาการหน่วงระหว่างเล่นให้ได้เห็นบ้าง โดยเฉพาะโหมดคุณภาพและโหมด Ray Tracing
– การเข้าใช้งาน Photo Mode ยังแอบยุ่งยากไปนิด
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวกันในครั้งนี้ครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…
สำหรับใครที่สนใจก็สามารถสั่งซื้อเกมได้ที่ : [คลิก]
ภาพสกรีนช็อตเพิ่มเติม