8 เหตุผลว่าทำไมเกม MMORPG ถึงปรับบาลานซ์ได้ยากกว่าที่คิด

ในโลกของเกม MMORPG คำว่า “บาลานซ์” คือสิ่งที่ผู้เล่นเรียกร้องมากที่สุด แต่กลับเป็นสิ่งที่หายากที่สุดเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่ผู้พัฒนาปล่อยแพทช์ใหม่ เพิ่มตัวละครหรือไอเทมใหม่ ๆ เกมก็ยิ่งเสี่ยงที่จะเสียสมดุลมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นแต่ละกลุ่มไม่ว่าจะเป็นสายฟรี สายเติม หรือแม้กระทั่งผู้เล่นหน้าใหม่ ต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างและขัดแย้งกัน ทำให้การหาจุดกึ่งกลางแทบเป็นไปไม่ได้เลย บทความนี้จะพาไปดู 8 เหตุผลหลักว่าทำไม MMORPG ถึงเป็นแนวเกมที่บาลานซ์ได้ยากกว่าที่คิด และบางที “บาลานซ์แท้จริง” อาจไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้ครับ ไปชมกันเลย

1. ระบบเลเวลหรือ CP ทำให้ผู้เล่นต้องการเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ

หัวใจของ MMORPG คือการ “เติบโต” ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นเลเวลหรือค่า CP (Combat Power) ทุกระบบถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา แต่ปัญหาคือยิ่งโตเร็วเท่าไร ช่องว่างระหว่างผู้เล่นใหม่กับผู้เล่นเก่าก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การบาลานซ์กลายเป็นเรื่องยาก เพราะถ้าเร่งเกินไปผู้เล่นใหม่จะหมดกำลังใจ แต่ถ้าช้าเกินไปผู้เล่นเก่าก็จะเบื่อ ในขณะเดียวกันก็จะมีไอเทม ของสวมใส่ หรือคอนเทนต์ที่ปลดล็อคตามเลเวลมากำกับการเล่น กระตุ้นให้ผู้เล่นยิ่งอยากรีบเก็บเลเวลมากขึ้นเท่านั้น ผู้เล่นหลายคนจึงมีความคิดว่า ถ้าไม่เริ่มวันแรกที่เกมเปิดเซิร์ฟ ก็ไม่เล่นเลยตั้งแต่แรกดีกว่า

2. เกมที่อัปเดท Patch คือเกมที่ Power Creep

MMORPG จำเป็นต้องมีคอนเทนต์ใหม่ ๆ เข้ามาอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาฐานผู้เล่น แต่ทุกครั้งที่อัปเดท มักจะมีอาวุธใหม่ อาชีพใหม่หรือสกิลใหม่ที่แรงกว่าเดิม นี่แหละคือ “Power Creep” ที่ค่อย ๆ ทำลายบาลานซ์ของเกมโดยไม่รู้ตัว หากผู้เล่นไม่อัปเดทตัวละครตามกระแสก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอทันที แถมยังมีคอนเทนต์ใหม่โผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นล่าบอส ไต่หอคอย กิจกรรมที่ต้องแข่งกับเวลา ทุกอย่างล้วนใช้ความแข็งแกร่งของตัวละครเป็นที่ตั้ง ถ้าคุณไม่พร้อมคุณก็เล่นไม่ได้ เลยทำให้ผู้เล่นต้องเก่งขึ้นอยู่ตลอด ซึ่งมันก็ทำให้ผู้พัฒนาต้องวิ่งตามแก้ปัญหาแบบไม่มีที่สิ้นสุดไปด้วยครับ

3. ปลายทางของความแข็งแกร่งคือคอนเทนต์ PVP

ไม่ว่าจะเล่นสายไหน จุดหมายสุดท้ายของ MMORPG มักหนีไม่พ้นการวัดฝีมือใน PVP หรือสงครามกิลด์ ซึ่งตรงนี้คือสนามที่ “ความไม่บาลานซ์” โดนขยายให้เห็นชัดที่สุด อาชีพบางสายอาจเก่งใน PVE ก็จริง แต่อาจไร้ค่าได้ทันทีเมื่อเข้าสู่สนาม PVP ตรงกันข้าม บางอาชีพก็ถูกออกแบบมาให้เหนือกว่าโดยเฉพาะในสงคราม สิ่งนี้เรียกว่า Meta ของเกมเพลย์ที่ทำให้ผู้เล่นมีความคิดว่า เราจะเล่นตัว PVE ไปทำไมถ้าปลายทางมันคือ PVP ผู้เล่นก็จะอยากเล่นแต่ Meta เป็นหลักแล้วเกมก็จะไม่มีความหลากหลายนั่นเองครับ และยิ่ง PVP คนก็ยิ่งอยากเก่งขึ้นมาก ๆ ด้วย

4. ผู้พัฒนาต้องการรายได้จาก Item Mall ไปเลี้ยงธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการเกมยังไงก็ถือเป็นบริษัทธุรกิจที่ต้องการแสวงหากำไรอยู่แล้ว และการทำ MMORPG ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก ทั้งเซิร์ฟเวอร์ ทีมงาน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รายได้หลักจึงมาจาก Item Mall หรือกาชาเป็นหลัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักสร้าง “ช่องว่าง” ระหว่างผู้เล่นสายฟรีกับสายเติมทันที หากขายของแรงเกินไปเกมก็ถูกด่าว่า Pay to Win แต่ถ้าขายของไม่มีประโยชน์ต่อผู้เล่น เกมก็จะขาดรายได้ไปเลี้ยงธุรกิจ นี่คืออีกหนึ่งกับดักที่ทำให้บาลานซ์แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตามหลักธุรกิจแล้ว Pay to Win นั้นทำให้บริษัทอยู่ได้จริง ๆ

5. Air Time เป็นสิ่งที่คนจ่ายน้อยเพราะไม่มีเวลาเล่น

หลายคนอาจจะบอกว่า ถ้าเกิด Item Mall มันแย่เพราะ Pay to Win งั้นทำไมผู้พัฒนาไม่เปลี่ยนเป็นระบบ Air Time ก็สิ้นเรื่อง คำตอบนั้นแสนง่ายครับ เพราะว่า Item Mall มันได้เงินเยอะกว่าในแง่ธุรกิจนั่นเอง เหตุเนื่องจากว่าระบบ Air Time นั้นเป็นระบบที่ผู้เล่นจะต้องมีเวลาเล่นเกม ซึ่งขัดกับสถานการณ์ในชีวิตจริงที่คนมีเงินมักจะไม่มีเวลาเล่น ผู้ใหญ่จึงใช้เงินซื้อความสุขแทนการที่ตัวเองไม่มีเวลา ในขณะที่สายฟรีหรือสายงบน้อย ไม่ว่าจะใช้เวลามากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถตามคนที่จ่ายเงินทิ้งห่างออกไปได้เรื่อย ๆ สุดท้ายบาลานซ์จึงหายไปครับ

6. คนที่จ่ายเยอะกว่าย่อมเก่งกว่าคนที่ไม่จ่าย

นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ในเกม MMORPG ต่อให้เกมพยายามหาบาลานซ์แค่ไหน คนที่เปย์มากกว่าย่อมมีพลังมากกว่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธพิเศษ ไอเทมหายาก หรือของสะสมที่ช่วยเพิ่มสเตตัส ทำให้สายฟรีมักรู้สึกว่าเกมไม่แฟร์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้พัฒนาก็ไม่อาจละเลยคนเติมเงินได้ เพราะพวกเขาคือกลุ่มที่ทำให้เกมยังคงอยู่ได้ ถ้าไม่มีคนเติมเงินเกมก็ต้องปิดตัวลงอยู่ดี ซึ่งสายฟรีมักจะไม่แคร์ตรงจุดนี้เพราะถ้าพวกเขาเล่นเกมแล้วไม่สนุกก็แค่เลิก ผู้พัฒนาจึงใส่ใจคนเติมมากกว่านั่นเอง

7. ผู้เล่นใหม่อาจจะไล่ตามทัน แต่ระหว่างนั้นจะไม่สนุกเลย

ในเกมที่เปิดให้บริการมาสักระยะแล้ว จะมีกิจกรรมหรือตัวช่วยผู้เล่นใหม่อยู่เรื่อย ๆ หลายเกมพยายามใส่ระบบ “เร่งผู้เล่นใหม่” เช่น exp boost หรือไอเทมแจกฟรี เพื่อช่วยให้ตามผู้เล่นเก่าทัน แต่ต้องไม่เก่งเกินไปจนผู้เล่นเก่ารู้สึกไม่พอใจ เพราะพวกเขาเล่นมานานกว่าพวกเขาก็ควรที่จะเก่งกว่า แต่ความจริงก็คือระหว่างที่วิ่งตาม ผู้เล่นใหม่แทบไม่ได้สัมผัสความสนุกอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะต้อง Skip ทุกอย่างของเกมแล้ว ระยะห่างของพลังก็ยังห่างชั้นกับผู้เล่นเก่าอยู่ดี ความรู้สึกที่ถูกขีดเส้นว่าเราอยู่คนละชั้นกันจะบั่นทอนกำลังใจไปเรื่อย ๆ จนอาจจะรู้สึกเบื่อจนเลิกเล่นไปก่อนครับ

8. ระบบมาเฟียในเกมทำให้สังคมอยู่ยากขึ้น

ใน MMORPG การรวมตัวของผู้เล่นกลายเป็นพลังสำคัญ กิลด์ใหญ่หรือกลุ่มผู้เล่นสายเติมหนักมักกลายเป็น “ผู้มีอิทธิพลในเกม” ที่ผูกขาดทรัพยากรและกดขี่ผู้เล่นอิสระ ทำสงครามราคาในตลาด เปิดหัวแดง ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลทางสังคม ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นสาย PVP,PVE หรือสายค้าขาย และถึงแม้ผู้พัฒนาจะปรับสมดุลด้านตัวละครหรือไอเทมแค่ไหน แต่หากสังคมในเกมยังเต็มไปด้วยการกระทำอันเกิดจากตัวผู้เล่นเอง ทีมพัฒนาก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่าเกมไม่บาลานซ์อยู่ดีครับ

สุดท้ายแล้ว “บาลานซ์” ในเกม MMORPG อาจไม่ใช่สิ่งที่ควรคาดหวังว่าจะสมบูรณ์แบบ แต่คือการหาจุดลงตัวที่ผู้เล่นทุกกลุ่มยังรู้สึกสนุกพอที่จะเล่นต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสายฟรี สายเติม หรือผู้เล่นหน้าใหม่ ล้วนมีมุมมองและความต้องการที่แตกต่างกัน จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้พัฒนาจะทำให้ทุกคนพอใจพร้อมกันได้ทั้งหมด ดังนั้น MMORPG จึงไม่ได้แข่งกันที่ใครบาลานซ์ที่สุด แต่แข่งกันที่ใครจะสร้าง “สมดุลของความสนุก” ได้ยาวนานกว่า