สกู๊ปพิเศษ

10 เสน่ห์ของเกม Open World

ที่ทำให้เราหลงใหลไม่รู้ลืม

หากพูดถึงเกมแนว Open World เชื่อว่าเกมเมอร์หลายคนจะต้องรู้จักเกมแนวนี้เป็นอย่างดี เพราะว่ามันก็อยู่เคียงคู่กับเรามาอย่างยาวนานไม่ว่าผ่านไปกี่ยุคสมัย เกม Open World ก็ยังมีออกมาให้เราได้เล่นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Grand Theft Auto (GTA), Assassin’s Creed หรือจะเป็นเกมน้องใหม่อย่าง Ghost Of Tsushima ที่ยังเป็นกระแสอยู่ไม่ขาดหาย แต่เพื่อนๆ เคยถามตัวเองกันไหมครับว่าทำไมเกมแนวนี้ถึงยังได้รับความนิยมไม่จางหายไปไหน วันนี้ตัวผู้เขียนก็ขอถือโอกาสมานำเสนอ 10 เสน่ห์เกม Open World ที่ทำให้เราหลงใหลไม่รู้ลืม จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

1. โลกของเกมที่มีชีวิตชีวา

image 4972

โลกของเกมหรือที่เราอาจจะเรียกกันว่า World Map มันจะเป็นองค์ประกอบแรกของเกมที่ผู้เล่นจะได้สัมผัส ซึ่งหากเกมๆ นั้นสามารถสร้างโลกของมันออกมาได้ดี, สมจริง และมีชีวิตชีวา ผู้เล่นอย่างเราก็อาจตกหลุมรักเกมนั้นๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นและอาจถลุงเวลาไปกับมันจนอดหลับอดนอน โดยความมีชีวิตชีวาที่ว่าก็คือการที่ผู้พัฒนาสามารถรังสรรค์ World Map ของเกมดังกล่าวให้ออกมาสมจริงเสมือนเราได้หลุดเข้าไปในโลกๆ นั้นจริงๆ ทั้ง NPC ที่มีกิจวัตรประจำวันชัดเจนไม่ต่างจากมนุษย์เรา, ตึกรามบ้านช่องที่มีข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเสมือนบ้านคนจริงๆ หรือแม้กระทั่งเนื้อเรื่องที่ช่วยส่งเสริมให้โลกของเกมดังกล่าวมีความสมเหตุสมผลไม่ต่างจากโลกจริงของเรา

2. เกมเพลย์ที่ออกแบบมาอย่างดี

image 4971

หากคุณนึกถึงเกม Open World ระดับแถวหน้าของวงการไม่ว่าจะเป็น GTA, The Witcher 3, Assassin’ s Creed หรือจะเป็นเกมเก่าอมตะอย่าง The Elder Scroll V : Skyrim ทุกๆ เกมที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้น ล้วนมีองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ไม่แตกต่างกันนั่นก็คือเกมเพลย์ที่ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นระบบการต่อสู้ที่ออกแบบให้เราได้ออกท่าเท่ๆ ใน The Witcher 3, ระบบภารกิจที่หลากหลายเล่นสนุกใน GTA หรือจะเป็นระบบการเคลื่อนไหวสไตล์ Parkour จากเกมตระกูล Assassin’ s Creed ที่ทำให้เราสนุกไปกับการสำรวจโลกที่อิสระและโลดโผนได้ตามที่ผู้เล่นต้องการ กล่าวคือเกม Open Wolrd ที่ดีนอกจากจะมีแผนที่ที่สวยงามแล้ว ตัวเกมก็ต้องมีระบบการเล่นที่สนุกด้วย

3. กิจกรรมที่หลากหลาย

image 4974

นอกจากเกมเพลย์ที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมแล้วนั้น อีกหนึ่งปัจจัยที่เกมจะใช้ในการดึงดูดผู้เล่นให้ขลุกอยู่กับหน้าจอก็คือกิจกรรมภายในเกมหรือ Side Activities ต่างๆ ที่อัดแน่นเข้ามาให้เราได้ทำการอย่างล้นมือ โดยกิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้นก็จะมีตั้งแต่การนั่งเล่นไพ่ Gwent ใน The Witcher 3, การนั่งแต่งกลอนไฮกุใน Ghost Of Tsushima, การเล่นหุ้น (หรือเที่ยว Strip Club) ใน GTA V หรือแม้กระทั่งการทำกิจวัตรประจำที่สมจริงสุดๆ ในเกม Red Dead Redemption 2 ที่มีทั้งการตัดไม้, แบกข้าวของ, การล่าสัตว์/ตกปลา, ดูแลม้า หรือแม้กระทั่งการทานอาหารและพักผ่อนในทุกๆ วันไม่ต่างจากชีวิตจริง

4. เนื้อเรื่องที่ดีและน่าติดตาม

image 4973


มากันที่เรื่องต่อไปที่เกม Open World ดีๆ จะมองข้ามไปไม่ได้นั่นก็คือเนื้อเรื่องของเกมซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวก็อาจจะถูกผู้เล่นบางส่วนมองข้ามไปได้ง่ายๆ เนื่องจากเกมๆ นั้นเน้นการสำรวจและเกมเพลย์เป็นหลัก แต่เกม Open World ที่ดีมันก็ต้องมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามเพราะไม่งั้นแล้วมันก็อาจจะกลายเป็นเกมธรรมดาๆ ที่ไม่มีแรงดึงดูดให้เราสามารถเล่นมันจบได้ แต่ในทางกลับกันหากเกมดังกล่าวมีเนื้อเรื่องที่กินใจและน่าติดตามมันก็ไม่ยากเลยที่เกมๆ นั้นจะได้ใจคนเล่นจากทั่วทุกมุมโลกและทำให้เกมเมอร์อย่างพวกเราติดตามมันไปได้จนจบ (และอาจจะขอภาคต่อด้วย) 

5. รองรับการสำรวจอย่างเต็มที่

image 4972

สำหรับองค์ประกอบในข้อนี้ก็มีความสัมพันธ์กับข้อแรกอยู่ไม่น้อย นั่นก็คือการที่เกมส่งเสริม การสำรวจแก่ตัวผู้เล่นให้สามารถออกเดินทางผจญภัยได้อย่างอิสระ โดยตัวอย่างที่ผมอยากพูดถึงก็คือ The Legend Of Zelda : Breath of the wild ที่ออกแบบการสำรวจภายในเกมได้อย่างเยี่ยมและมีอิสระสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจแผนที่ทั้งเกมได้ตั้งแต่ต้น (เพราะตัวเกมไม่ได้มีการจำกัดแผนที่) , การเดินทางตามหาดาบในตำนาน Master Sword ตั้งแต่ต้นเกม หรือจะเป็นการมุ่งหน้าไปตบ Ganon แบบเปลือยเปล่าเลยก็ทำได้

6. มีของสะสมให้เก็บมากมาย

image 4972


นอกจากกิจกรรมที่มีให้ทำมากมายภายในเกมแล้ว การเก็บของสะสมหรือ Collectables ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเกมแนวนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นส่งเสริมให้เราอยากสำรวจแผนที่แล้ว มันก็ยังเป็นการเพิ่มชั่วโมงการเล่นให้เราอยู่กับเกมๆ นั้นได้นานขึ้น และผมก็จะขอยก Spider-Man PS4 มาให้เป็นตัวอย่างเห็นภาพ โดยภายใน Spider-Man PS4 จะมีของสะสมมาในรูปแบบของ Token ที่จะได้มาจากการเก็บของหรือทำภารกิจต่างๆ ตั้งแต่การไล่เก็บกระเป๋าที่มีกระจายอยู่ทั่ว New York, การไล่ถ่าย Landmark ประจำเมืองไปจนถึงการต่อกรกับเหล่าร้าย และหลังจากที่เราได้ Token เหล่านี้มามันก็สามารถนำมาแลกชุดใหม่ๆ ให้ Spider-Man ของเราได้สวมใส่เท่ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการให้คุณค่าในความช่างสำรวจของผู้เล่นไปในตัว

7. ความยาวของเกมที่พอเหมาะ

image 4971


ถึงแม้ว่าเราจะอยากให้เกมที่เราเล่นจบช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เกมที่ดีก็ควรมีความยาวที่พอเหมาะไม่สั้นจนเกินไปและไม่ยืดเยื้อจนเกินพอดี ซึ่งโดยทั่วไปความยาวมาตรฐานของเกมแนวนี้จะอยู่ที่ ประมาณ 30 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ และอาจจะมีการเพิ่มชั่วโมงเล่นเพิ่มเติมผ่านการใส่กิจกรรมอื่นๆ เข้ามาให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินต่อทำให้เกมอาจมีความยาวได้ถึง 60 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้ว Open World ที่ดีก็ต้องมีชั่วโมงการเล่นที่เหมาะสมกับจำนวนคอนเทนต์ในเกม เพราะหากมันถูกทำให้ยืดยาวจนเกินไปเราก็อาจพบเจอภารกิจที่ซ้ำซากจนทำให้เหล่าผู้เล่นเบื่อหน่ายได้

8. ภารกิจเสริมที่น่าดึงดูดไม่แพ้ภารกิจหลัก

image 4971


ในเมื่อเกมแนวนี้มีการเล่าเรื่องแบบไม่เป็นเส้นตรง การใส่ภารกิจเสริมหรือ Side Quest มาให้ผู้เล่นได้ทำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกม Open World มีเสน่ห์ไม่น้อยหน้าเกมแนวอื่นๆ โดยระบบ Side Quest หากทำออกมาได้ดีมีองค์ประกอบที่ลงตัวไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภารกิจที่เล่นสนุก, รางวัลที่คุ้มค่ากับการทำ หรือจะเป็นเนื้อหาของภารกิจที่น่าสนใจไม่แพ้ภารกิจหลักซึ่งหากจะต้องยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ผมก็ขอนำ The Witcher 3 มากล่าวถึงสักหน่อยเพราะเกมๆ นี้นอกจากจะมีเนื้อเรื่องหลักที่น่าติดตามแล้วมันก็ยังมีเนื้อหา Side Quest ที่หลากหลายตั้งแต่การล่าเหล่าปีศาจ, การตามหากระทะของคุณยาย หรือจะเป็นเนื้อเรื่องสุดกินใจของ Red Baron ที่ทำให้เราน้ำตาตกกันเลย

9. เที่ยวได้เพียงแค่อยู่กับหน้าจอ

image 4971


สำหรับเกม Open World เจ้าใหญ่ๆ ในปัจจุบันนอกจากภาพกราฟิกที่ถูกพัฒนาให้สวยงามสมจริงกว่าแต่ก่อนแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่อาจจะพูดได้เต็มปากว่าขาดไม่ได้สำหรับเกมแนวนี้ก็คือ Photo Mode ที่จะช่วยให้เราสามารถถ่ายวิวสวยๆ หรือจังหวะเท่ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งตัวอย่างที่น่าจะเห็นภาพได้ชัดที่สุดก็คงไม่พ้นเกมดังอย่าง Ghost Of Tsushima ที่มีการนำระบบ Photo Mode เข้ามาแถมยังใช้งานได้ง่ายอีกด้วย (ขนาดคนเขียนอย่างผมก็ถูกใจ) เรียกได้ว่านอกจากเราจะสนุกกับการเล่นแล้วเราก็เหมือนได้เข้าท่องเที่ยวในโลกของเกมนั้นๆ อีกต่างหาก

10. ความอิสระที่เราจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ

image 4972

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดกับจุดแข็งที่ผมเชื่อว่าเกมเมอร์หลายคนคิดไม่ต่างกัน ก็คือการที่เราจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการภายในเกมไม่ว่าจะเป็นการฉกชิงวิ่งราวขโมยของ, เป็นวีรบุรุษที่คอยช่วยเหลือ ผู้คน หรือเพียงแค่อยากขับรถ / ควบม้าแบบชิวๆ รับบรรยากาศภายในเกมคุณก็สามารถทำได้ทั้งหมดในเกม Open World และด้วยเหตุผลนี้เองก็อาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ใครหลายคนหลงไหลในเกมแนวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ก็จบกันไปแล้วกับ 10 เสน่ห์เกม Open World ที่ทำให้เราหลงใหลไม่รู้ลืม เป็นยังไงกันบ้างครับมีข้อไหนที่ตรงใจกับเพื่อนๆ สักข้อบ้างไหมครับหรือมีอะไรที่ผมตกหล่นไปบ้างหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ดีเสน่ห์ต่างๆ ที่ผมยกขึ้นมาข้างต้นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผมเชื่อว่าใครหลายๆ คนก็น่าจะมีความหลงใหลที่แตกต่างกันนอกเหนือจากนี้และสุดท้ายนี้เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรก็มาคอมเมนต์มาคุยกันได้นะครับ

Back to top button