สกู๊ปพิเศษ

เกมเส้นตรง vs เกม Open World อะไรสนุกกว่ากัน ?

ผู้เล่นเถียงกันตามความคุ้มเงิน แต่ปริมาณคอนเทนต์เยอะอาจไม่ใช่คำตอบ

สวัสดีเพื่อน ๆ ชาวเกมเมอร์ที่กำลังอ่านบทความนี้ทุกท่านครับ สิ่งที่จุดประเด็นความคิดผมขึ้นมาก็คือช่วงนี้ใคร ๆ ต่างก็วิจารณ์เกมที่เพิ่งออกใหม่อย่าง Final Fantasy XVI ที่เป็นแนว Open World ว่าเกมมันฟอร์มยักษ์นะ แต่คอนเทนต์ด้านในมันดูกลวงจัง แต่บางเกมที่เป็นเกมแนวเส้นตรงบางเกมอย่าง Resident Evil 4 Remake กลับได้รับคำชมมากกว่า ถึงแม้ทั้ง 2 เกมนี้จะต่างแนวกัน แต่ก็ถูกผู้เล่นหลายคนนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะ 2 เกมนี้อยู่ในปีเดียวกันและแบกรับความคาดหวังจากแฟนเกมเหมือนกัน เรามาลองพูดคุยและทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าเกมเส้นตรงกับเกม Open World อะไรสนุกกว่ากันดีกว่า

ความหมายของ “เกมเส้นตรง” กับ “เกม Open World” 

image 2206

การจะตอบคำถามนี้ได้ว่าอะไรมันสนุกกว่ากันเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่าทั้ง 2 เกมนี้มีหมายถึงอะไร โดยเกมเส้นตรงหรือที่ฝรั่งมักจะเรียกว่า “Linear Games” นั้นหมายถึงเกมที่ถูกชี้นำตามเนื้อเรื่องให้ไปสู่จุดสิ้นสุดของเกม และอาจถูกบีบด้วยเส้นทางที่ไม่กว้างขวางนัก แต่ก็ไม่ได้หมายถึงเกมเส้นตรงจะออกนอกลู่นอกทางไม่ได้ เพียงแค่จุดโฟกัสของเกมเส้นตรงจะไม่ใช่การสำรวจ แม้บางเกมจะมีของให้เก็บหรือกลับไปที่เดิมได้ แต่ถ้าเก็บของหมดมันก็ไม่มีอะไรแล้ว และอาจถูกบังคับให้ดำเนินเนื้อเรื่องต่อตามที่ตัวเกมกับหนด ถ้าคุณเล่นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด เกมก็จะดำเนินไปจนจบเรื่องนั่นเอง

image 2205

ซึ่งจะแตกต่างกับเกม “Open World” ที่มุ่งเน้นไปที่การสำรวจ โลกกว้าง ไปที่ไหนทำอะไรก่อนหลังก็ได้ เนื้อเรื่องจะไม่ดำเนินถ้าคุณไม่เดินไปยังจุด Main Quest ที่เกมกำหนดไว้ คุณอาจจะใช้เวลากับอย่างอื่นในการเล่น เช่น การสำรวจโลกอันกว้างใหญ่ หาสมบัติ ฟาร์มเลเวล คุยกับ NPC เสพเนื้อเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ประจำพื้นที่ หรืออาจจะหาของดี ๆ มาใช้ ซึ่งทำให้เกมแนว Open World มักจะมาด้วยคอนเทนต์ที่มากมาย และการสร้างบรรยากาศของโลกในเกมให้ดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา 

แล้วจะเปรียบเทียบกันอย่างไร ?

image 2204

แน่นอนว่าเกม 2 แนวนี้เป็นคนละแนวกัน มีฐานผู้เล่นที่ต่างรสนิยมกัน และดูเหมือนมันจะวัดกันไม่ค่อยได้ตามหลักของความเท่าเทียม แต่สิ่งที่ผู้เล่นมักจะนำมาเปรียบเทียบกันระหว่าง 2 แนวนี้คือ “ปริมาณคอนเทนต์” กับ “คุณภาพคอนเทนต์” ที่อยู่ภายในเกม เพราะเกมทั้งสองแนวนี้จะมี 2 สิ่งนี้ให้พูดถึงบ่อย ๆ บางเกมสั้นแตsปี่ยมคุณภาพ บางเกมยาวแต่อาจไม่มีอะไรเลย บางเกมไม่รู้สึกดึงดูดทำให้เลิกเล่นไปได้ง่าย ๆ เมื่อความใหญ่ของเกมและระยะเวลาในการเล่นมันต่างกันขนาด 8 ชั่วโมง กับ 100 ชั่วโมง แล้วเกมที่ใช้เวลา 100 ชั่วโมง คือเกมที่ดีกว่า 8 ชั่วโมง จริงหรือเปล่า ? มันก็ไม่เสมอไปใช่ไหมล่ะครับ งั้นเรามาเจาะรายละเอียดกัน

“เกมแนวเส้นตรง” ที่ดีควรเป็นอย่างไร ?

image 2203

แน่นอนว่าถ้าพูดถึง “ปริมาณคอนเทนต์” ยังไงเกมแนวเส้นตรงก็แพ้เกม Open World แบบขาดลอย แค่คอนเทนต์ของเมือง ๆ เดียวของเกม Open World อาจเล่นเกมแนวเส้นตรงจบได้ถึง 2-3 รอบ แต่นั่นเรากำลังพูดถึงจำนวนเวลาที่ใช้ในการเล่นเท่านั้น หากมองถึงเรื่อง “คุณภาพคอนเทนต์” ของเกมแนวเส้นตรงนั้นจะเป็นอะไรที่แสดงออกได้ชัดเจนกว่า เพราะเกม Open World นั้นผู้พัฒนาจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาส่วนอื่น ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศการเล่นให้ดีที่สุด แต่สำหรับเกมแนวเส้นตรงที่มีจุดโฟกัสในการพัฒนาที่น้อยกว่า จึงทำให้คอนเทนต์ที่เป็นปัจจัยหลักของเกมออกมาดี ในมุมของเกมเส้นตรง แทนที่จะคิดว่า Side Quest ควรมีอะไร หรือ NPC ในเมืองเดินยังไงให้เป็นธรรมดา สู้เอาเวลาคิดเรื่องพวกนี้ไปทำยังไงให้เกมเพลย์มันสนุกจะดีกว่า

image 2202

ผมขอยกตัวอย่าง Resident Evil Village จากที่พูดไปในช่วงต้น ในช่วงเวลาที่เกมเปิดตัวมา มันคือเกมใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้เนื้อเรื่อง สิ่งที่เกมนี้ทำได้ดีคือความต่อเนื่องของเนื้อเรื่องที่ถูกชี้นำ เราจะรู้ว่าตัวละครหลักมาเพื่อจุดประสงค์อะไร ต้องสู้กับใคร มีบอสรออยู่กี่ตัว ใครคือลาสต์บอส และเรื่องน่าจะจบลงอย่างไร นี่คือเกมแนวเส้นตรงที่เขาชี้นำให้เรารู้ตั้งแต่ช่วงต้นเกม แต่มันคงเป็นแค่เกมดาด ๆ ทั่วไปถ้าเกิดว่าการชี้นำนี้เป็นไปตามคาดทุกอย่าง ซึ่งสิ่งที่ Resident Evil Village เล่นคือการหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเบื้องหลังของตัวร้ายที่เราคาดไม่ถึง การทรยศกันเองของตัวร้าย การมีคนเสียสละ การไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เล่นคริส หรือแม้กระทั่งตอนจบเกมนั้นเหมือนจะมีคนที่คิดว่าตายแล้วเดินอยู่บนถนนด้วย ในแง่ของการดำเนินเนื้อเรื่องนั้นถือว่าทำออกมาได้ดี แล้วผู้เล่นจะไม่อินเลย ถ้าหากว่าอีธานต้องไปฟาร์มเลเวลก่อนสัก 10 ชั่วโมง แล้วค่อยไปรู้เนื้อเรื่องต่อ 

image 2200

ผมขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งเกมที่เป็นเกมเส้นตรงเชิงสำรวจ นั่นก็คือเกมตระกูล Dark Souls ซึ่งใช้ระบบเขาวงกตแบบไม่มีแผนที่มาให้คุณเดินสำรวจทางไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบเนื้อเรื่อง แม้ว่า Dark Souls จะสามารถสำรวจโลกและฟาร์มได้ แต่มันก็ยังไม่ถูกจัดว่าเป็นเกม Open World และถูกเรียกเป็น Linear Game เหมือนกับ Resident Evil และเกมเส้นตรงอื่น ๆ เพราะ Dark Souls นั้นถ้ารู้ทางแล้วเดินไปเล่นให้จบเลยก็สามารถทำได้ภายใน 20 นาที เหมือนอย่างที่เราเห็นกันใน World Record เพียงแค่มันถูกออกแบบให้เราหลงทางเท่านั้น ตัวเกมเลยสนุกกับการสำรวจได้เหมือน Open World แต่ก็ไม่ใช่แนวนั้น ถือว่าเป็นวิธีทำให้เกมเส้นตรงสามารถสนุกกับการสำรวจได้ แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้เล่าจริงจังเหมือนหนัง แต่ก็มีระบบเกมเพลย์ที่สนุกและตื่นเต้นตลอดเวลา

แล้ว “เกม Open World” ที่ดีควรเป็นอย่างไร ?

image 2199

สิ่งที่เกม Open World มาเหนือกว่าอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นเลยก็คือ “ปริมาณคอนเทนต์” ที่ขนมาจนเต็มโลก ทำให้การมองครั้งแรกนั้นเกมแนว Open World จะดีกว่าเกมแนวเส้นตรงในแง่ของ “ความคุ้มราคา” และใคร ๆ ก็ชอบกัน สมมติคุณลองคิดว่ากำลังซื้อเกมระดับ AAA สักเกมที่มีราคา 1,890 บาทสักเกม เกมหนึ่งเล่นได้ 8 ชั่วโมง กับอีกเกมเล่นได้ 100 ชั่วโมง ในขั้นแรกความคุ้มค่านั้นเกม Open World ก็ชนะไปแล้ว ทีนี้มันก็จะมามองเรื่อง “คุณภาพคอนเทนต์” กันต่อ ว่าถ้าเกม Open World ทำคอนเทนต์ทุกอย่างในเกมให้มีคุณภาพได้ ก็อาจจะทำแต้มต่อให้กับตัวเองได้เช่นกัน เพราะถ้าจุดแข็งของเกมเส้นตรงคือเนื้อเรื่องเข้มกับเกมเพลย์ดี งั้นถ้า Open World แก้จุดนี้ได้ก็จะกลายเป็นเกม AAA ระดับโลกได้เหมือนกัน อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันก็มีเกม Open World ที่ทำแบบนั้นได้เรื่อย ๆ

image 2198

ผมขอยกตัวอย่าง The Witcher 3 ซึ่งผมมองว่าเป็นเกม Open World ที่ทำได้ดีในทุกแง่มุมสมกับที่เป็น Game of the year 2015 เกมนี้มีคอนเทนต์มากมายที่อัดแน่นลงไปในนั้น และไม่รู้สึกว่าเป็นคอนเทนต์กลวง ๆ เพราะทุกสิ่งที่เราทำจะมีผลกระทบตามมาเสมอ เราเลือกตอบอะไร ผลที่ได้ก็จะเป็นไปตามที่เราเลือก และมันเป็นแบบนี้แม้แต่ Side Quest มันเลยทำให้รู้สึกว่าเควสต์เสริมต่าง ๆ มันน่าทำและน่าสนใจ ในขณะที่ Side Quest แต่ละอย่างจะมีความเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลัก ไม่ก็ประวัติของตัวละครสำคัญ ทุกอย่างจะรวบยอดส่งผลไปในตอนท้ายเกม รวมไปถึงระบบจีบสาวด้วย ทำให้คุณรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทำเควสต์คุณมีแต่ได้กับได้ และผลกรรมจะเป็นไปตาม Karma System ที่เกมกำหนดไว้ มันคงจะออกมาไม่ดีแน่ ถ้าการทำ Side Quest เป็นการส่งของหรือฝากคำพูดจาก NPC คนหนึ่งไปหาอีกคนเหมือนเกม MMO ออนไลน์ แบบนั้นคงน่าเบื่อแย่

image 2197

อีกเกมที่ทำบรรยากาศออกมาได้ดีและจัดการกับความรู้สึกผู้เล่นได้ดีคือ GTA 5 เป็นชื่อที่เกมเมอร์ทุกคนจะต้องคิดถึงเมื่อพูดถึงคำว่า Open World และ GTA คือเกมที่นิยามคำว่า “คุณจะทำอะไรก็ได้” ได้เป็นอย่างดี ใน GTA 5 มีคอนเทนต์มากมายที่อัดแน่นอยู่ในโลกแห่งนี้ แถมยังมีพื้นที่กว้างขวางให้สำรวจ ที่สำคัญบรรยากาศต่าง ๆ ยังดูเป็นธรรมชาติ NPC ทุกตัวใช้ชีวิตในแบบของมัน คุณจะไม่ได้อยู่แค่โลกภายนอกแต่จะเดินเข้าไปในตึกรามบ้านช่องได้เต็มที่ นอกจากเควสต์หลักเควสต์ย่อยแล้ว คุณยังมีอีเวนท์บนแผนที่ให้ทำมากมายเรียกได้ว่าทำเท่าไหร่ก็ทำไม่หมด แต่ถ้าจะเอาให้หมดคือน่าจะถึง 100 ชั่วโมงแน่ ๆ แถมทุกเควสต์ทุกอีเวนท์ยังเล่นด้วยเกมเพลย์ที่สนุกจนรู้สึกว่าเป็น 100 ชั่วโมงที่ไม่เสียเปล่าสำหรับใครหลายคน ถ้าเวลาเล่น 100 ชั่วโมงเต็มไปด้วยคอนเทนต์คุณภาพ ผู้เล่นก็มักจะรู้สึกคุ้มค่ากว่าเกม 8 ชั่วโมง เป็นธรรมดาครับ

แล้ว “เกมเส้นตรง” กับ “เกม Open World” อะไรสนุกกว่ากัน

image 2196

ผมยืนยันว่าคำตอบนี้ทุกคนมีอยู่ในใจอยู่แล้ว และมันไม่เหมือนกันด้วย เราไม่สามารถการันตีได้ว่าอะไรดีกว่าตราบใดที่ยังมีคนชื่นชอบอีกแนวอยู่ สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้เล่นเพราะมันคือเกมคนละแนว และขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้เล่นด้วยว่าในชีวิตเคยผ่านเกมไหนมาบ้าง แต่ที่หยิบจับเอามาพูดเพราะประเด็นนี้มักจะถูกวิจารณ์กันในเชิง “ความคุ้มราคา” ของทั้งสองแนว เพราะเราต้องยอมรับว่าทั้งสองแนวนี้ก็มีเกมที่ทำออกมาไม่ดีเท่าไหร่นัก ไม่งั้นเราคงจะไม่ยินคำว่า “อย่าซื้อเกม A เลย ไปซื้อเกม B ดีกว่า” ทั้ง ๆ ที่ 2 เกมนี้คนละแนวกันเลย

เพราะว่าเกม Open World มันดูคุ้ม ดูสนุกที่ได้สำรวจโลก คนเลยนิยมเล่นกัน แล้วกลายเป็นว่าเกม AAA สมัยใหม่ก็นิยมสร้างมาให้มีระบบ Open World ตามความชอบของผู้เล่น แต่พอสร้างออกมาเยอะ ๆ ก็มี Open World ที่ไม่ดีโผล่ออกมาบ้าง จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับเกมเส้นตรงที่ดีจนเกิดเป็นประเด็นคำถามว่าอะไรดีกว่ากัน ทั้ง ๆ ที่เกมเส้นตรงแย่ ๆ ก็มีไม่น้อยเลยเหมือนกัน (แต่เอ่ยชื่อไม่ได้ 555) 

สุดท้ายเราก็จะมีเกมที่ยืนหนึ่งในใจไม่เหมือนกัน และหลายครั้งเราก็เล่นทุกแนวไม่ว่าจะเป็นเกมเส้นตรงหรือเกม Open World อาจจะมีเอ่ยปากบ่นบ้างว่าเกมนี้มันไม่โอเคเลย เพราะเราเสียเงินเป็นพันเพื่อที่จะซื้อเกมมาเล่น แต่กลับไม่ได้ตามความคาดหวัง หลายคนคงเจ็บมาเยอะกับเกมที่ตัวเองซื้อมาเล่น จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบข้ามแนวเกมกันบ้างเพราะราคามันพอ ๆ กัน แต่โดยส่วนตัวแล้วสำหรับผม มันไม่มีเกมไหนดีกว่าเกมแนวไหนหรอก มันมีแต่เกมที่ทำออกมาแล้วดีกับเกมที่ทำออกมาไม่ค่อยดีเท่านั้นแหละครับ

ที่มา
capcom-unity.comestacaonerd.commapgenie.iomth.groupytimg.comfuturecdn.netvox-cdn.comthethaovanhoa.mediacdn.vn

MakinoJou

คนธรรมดาผู้ชื่นชอบ Japanese Culture, Games, Anime และ Vtuber
Back to top button