10 เกมชวนหัวร้อนจนต้องกำหมัด
เรื่องจริงเกมเมอร์ต้องเจอ ไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน
หากพูดถึงอาการหัวร้อนหรืออาการหัวอุ่นๆ อันเป็นผลมาจากเล่นเกม ผมเชื่อว่าทุกท่านต้องเคยมีประสบพบเจอกันมาบ้างอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกันมันก็อาจจะดูแปลกสักนิด เพราะเหตุผลที่เรามาเล่นเกมก็เพื่อความสนุกไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงต้องโมโห อารมณ์กันด้วยล่ะ ผมว่าแต่ละคนคงมีคำตอบเป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว (คำตอบน่าจะเป็น 10 ข้อ) แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการหัวร้อนนั้นก็มีหลากหลายประการ ทั้งสภาพแวดล้อม, ตัวบุคคล ไปจนถึงเกมที่เราเล่น และในวันนี้ผมก็ขอถือโอกาสรวบรวม 10 เกมชวนหัวร้อนจนต้องกำหมัดมาแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน ส่วนจะมีเกมอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยดีกว่าครับ
*หมายเหตุ – บทความนี้ไม่ได้เป็นการจัดอันดับและจัดทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
1. ฺBattletoads
เกมแรกที่เอามาเปิดหัวอาจจะดูเก่าไปสักนิด แต่ยังคงรักษามาตรฐานความยากและความหัวร้อนที่พร้อมจะมอบให้ผู้เล่นได้ถึงทุกวันนี้ Battletoads เป็นเกมจากทีมผุู้พัฒนาสุดโด่งดังในอดีตอย่างค่าย Rare (ค่ายนี้เคยโด่งดังมากๆ นะครับ) โดยตัวเกมจะเป็นแนวเดินตะลุยข้างหรือที่เรามักจะคุ้นตากันในชื่อของ Beat ‘Em Up (ผมไม่แน่ใจว่าในยุคนี้จะยังเหลืออยู่ไหม) มาถึงตรงนี้ผู้อ่านบางท่านอาจจะงงว่า “ อ้าว ก็ดูเป็นเกมปกติดีนิ มันจะทำให้เราหัวร้อนได้ยังไง “ ถ้างั้นผมขอเริ่มบรรยายสรรพคุณของเกมนี้ให้ได้รับรู้รับทราบกันก่อน
สำหรับ Battletoads ภาคต้นฉบับนั้นเป็นอีกหนึ่งเกมที่เรียกได้ว่ายากมากๆ ถ้าใครคิดว่าเกมตระกูล Souls Bourne หรือ Sekiro มันยากจนเล่นแทบไม่ไหวแล้วเกม Battletoads มันคือขั้นกว่าของความยากเหล่านั้น ตั้งแต่จำนวนชีวิตที่มีให้เราเพียงแค่3 ชีวิต บวกกับศัตรูที่กรูกันเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินและฉากยากโหดหินในตำนานอย่าง Turbo Tunnel ที่จนถึงทุกวันนี้ยังมีผู้เล่นน้อยคนที่จะผ่านมันไปได้ ด้วยความยากของเกมที่เรียกได้ว่าโหดขั้นสุด ทำให้ผู้เล่นอย่างเราๆ ต้องเกิดอาการหัวร้อนจากการตายซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วนนั่นเอง
ฉาก Turbo Tunnel ในตำนาน
2. QWOP
มากันต่อที่ QWOP อีกหนึ่งเกมที่อาจจะฟอร์มเล็กกว่าใครเพื่อน สำหรับ QWOP (ผมก็อ่านชื่อไม่ถูก) เป็นเกมที่เราสามารถเล่นบน Browser ของเราได้เลย ซึ่งเนื้อหาในตัวเกมก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย แค่ให้เราสวมบทบาทเป็นนักวิ่งคนหนึ่งที่น่าจะมีปัญหากับการขยับร่างกายของตัวเองอยู่เล็กน้อย (จริงๆ ก็ไม่น้อยเลยแหละ) ที่ต้องให้ผู้เล่นมารับหน้าที่ในการบังคับพี่นักวิ่งคนนี้ให้วิ่งไปไกลมากที่สุดบนลู่วิ่ง (ฟังดูง่ายนะครับ แต่พอทำจริงนี่ยากสุดๆ)
และเกมจะจบลง ถ้าพี่นักวิ่งของเราหงายท้องหัวทิ่มพื้น หรือหงายท้องลงไปทำให้ Game Over และต้องมาเริ่มใหม่ (แค่คิดก็หัวอุ่นๆ แล้ว) โดยประเด็นหลักๆ ที่ทำให้เกมนี้มันชวนให้เรารู้สึกหงุดหงิดเนี่ยคงหนีไม่พ้นการบังคับตัวละครที่ทุกส่วนของร่างกายจะมีปุ่มแยกให้เรากด (อารมณ์คล้ายๆ การขยับมือใน Surgeon Simulator ครับ) บวกกับตัวเกมที่ไม่มีทั้งจุด Checkpoint หรืออะไรทั้งสิ้น ทำให้การทนเล่นเกมนี้แลดูจะเป็นการทรมานตัวเองเสียมากกว่า
ลองเล่น QWOP ได้ที่นี่ >>คลิก<<
3. Sonic 06
สำหรับใครที่เป็นแฟนเกมซีรีส์ Sonic เจ้าเม่นสายฟ้าแล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่าคุณต้องรู้จักเกม Sonic ภาคนี้อย่างแน่นอน อย่างที่ผู้อ่านหลายท่านคงจะทราบกันดีว่าเกม Sonic นั้นเดิมทีเป็นเกมแนว 2D Platformer หรือเกมเดินลุยฉากแบบมุมมองด้านข้าง แต่ด้วยสาเหตุบางประการ (ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะการแข่งขันกับ Nintendo) ทำให้ผู้พัฒนาเกม Sonic ตัดสินใจทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับเกมซี่รี่ส์นี้ พร้อมแหวกขนบของตัวเองออกจากความเป็น 2D Platformer และมาลุยในโลก 3D อย่างเต็มตัว แต่ถ้าพูดถึงผลลัพธ์ที่ออกมานั้นตัวเกมมันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักถ้าเทียบกับเกมคู่แข่งอย่าง Mario 64 ที่ยังเป็นเกมขึ้นหิ้งจนถึงทุกวันนี้ และสาเหตุที่ทำให้ผู้เล่นเกม Sonic 06 เกิดอาการหัวร้อนจนแทบจะปาจอยเนี่ยหลักๆ เลยก็คือความไม่สมประกอบของตัวเกมที่เต็มไปด้วยบัค, ข้อบกพร่องทางเทคนิคของเกมที่เยอะเป็นหางว่าว, การออกแบบฉากที่พอเล่นแล้วก็ไม่สนุก รวมไปถึงการทำ Boss Fight ที่แย่เข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว ทำให้แฟนเกม Sonic ที่ได้ลองสัมผัสเกมนี้พร้อมจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เกมนี้มันโคตรจะห่วยเลย
4. I wanna be the guy: Gaiden
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่ทำขึ้นเพื่อสะกิดต่อมโมโหของผู้เล่นเลยก็ว่าได้ เพราะเกมนี้มันยากเสียจนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า “ถ้าคนที่พัฒนาเกมนี้มาเล่นเอง จะจบได้ไหมเนี่ย “
โดย I wanna be the guy: Gaiden เป็นเกมแนว 2D Platformer ตะลุยฉากแบบเดินข้าง ให้กลิ่นอายคล้ายๆ Rockman ผสมกับ Contra มาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านอาจจะคิดว่าเกมมันก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรใช่ไหมล่ะครับ เพราะด้วยภาพเกมและรูปแบบการเล่นที่ดูเผินๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น แต่ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิดแล้วล่ะ เพราะเอาเข้าจริงเกมนี้มันอยู่ในจุดที่คำว่า “ ยาก “ ก็ยังดูเบาเกินไป ด้วยองค์ประกอบฉากและอุปสรรคต่างๆ ภายในเกมที่พร้อมจะเขวี้ยงใส่ผู้เล่นอย่างไม่ปราณี ซึ่งผู้เล่นจะได้รับรู้ตั้งแต่ฉากเริ่มเกมที่ตัวละครของคุณจะสามารถโดนฆ่าได้ก่อนที่จะเริ่มเข้าฉากเสียอีก (คือทุกอย่างในเกมมันฆ่าเราได้หมดเลย) แถมพอเข้าฉากมาตัวเกมก็จะทวีความยากไปอีก ทั้งจำนวนศัตรู, กับดักที่มีอยู่เพียบ, ความยากในฉากที่ต้องกะการกระโดดอย่างแม่นยำ ไปจนถึง Checkpoint ที่มีอยู่น้อยนิดและเกมนี้มีปุ่ม Restart ฉากด้วย ถ้าเผลอมือลั่นละก็ ได้มีปาจอยกันแน่ๆ
5. Poly Bridge
ผมเชื่อว่าบางคนอาจจะเคยเห็นเกมนี้ผ่านตากันมาบ้าง เพราะด้วยธรรมชาติของตัวเกมที่เป็นเกมแนวสร้างๆ มักจะเป็นเกมที่ดูสนุกมากกว่าเป็นผู้เล่นซะเอง (อันนี้อาจจะขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วยนะครับ) โดยเกมที่ว่านั้นคือเกม Poly Bridge นั่นเอง
เกม Poly Bridge จะเป็นเกมแนวสร้างสะพานที่มีการใส่ระบบฟิสิกส์เฉพาะของตัวเกมลงไป ทำให้การสร้างสะพานในแต่ละครั้งต้องมีการคิดวางแผนการใช้โครงสร้างต่างๆ เป็นอย่างดีบวกกับการคำนวณงบประมาณในการสร้างแต่ละครั้งที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ถึงแม้ตัวเกมจะดูเป็นเกมแนวสร้างธรรมดาๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรยาก แต่ช้าก่อน ผมได้เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมว่าเกมนี้มาพร้อมกับระบบ “ ฟิสิกส์เฉพาะของตัวเกม “ หรือจะให้พูดง่ายๆ เลยก็คือตรรกะบางอย่างที่ใช้บนโลกจริงได้เนี่ย มันเอามาใช้กับเกมนี้ไม่ได้นี่สิ! อาทิเช่น คานอันนี้ไว้ในตำแหน่งนี้ตามหลักฟิสิกส์มันควรจะรองรับน้ำหนักของรถได้ แต่ไม่เลย ไอ้คานที่เราเอามาค้ำสะพานมันเปราะพอๆ กับไม้จิ้มฟัน รวมถึงปัญหาอื่นๆ อีกมากที่เราต้องพบเจอในเกมนี้ ถ้าคุณไม่ได้เล่นเกมนี้แบบเอาฮาละก็ Poly Bridge ก็พร้อมที่จะทำให้คุณหัวร้อนได้อยู่เหมือนกันนะครับ
6. Flappy Bird
มาต่อกันที่อันดับ 6 กับเกมมือถือที่เคยทำสถิติมียอดดาวน์โหลดถล่มทลายทั้งบน Apps Store และ Google Play Store ทั่วโลกมาแล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยลองเล่นเกมนี้มาแล้วอย่างแน่นอนเกมที่ว่านั้นก็คือ Flappy Bird นั่นเอง
Flappy Bird มีคอนเซ็ปต์เกมที่เข้าใจได้ง่าย (แต่เล่นไม่ง่าย) ด้วยการพาเจ้าตัวปลาเป็ดสีเหลืองบินลอดผ่านท่อมาริโอ้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และด้วยคอนเซ็ปต์ดังกล่าวก็ชวนให้ผู้เล่นนับล้านติดเกมนี้กันอย่างงอมแงมเพราะมันเข้าใจง่าย แถมยังมีการนำคะแนนสูงสุดมาอวดกันได้อีกต่างหาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามพอมาเล่นจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่าต้องมีบางท่านรู้สึกหงุดหงิด Flappy Bird อย่างแน่นอน เพราะการบังคับตัวละครมันไม่ง่ายเลย เดี๋ยวก็ตก เดี๋ยวก็หัวโขกท่อ คือจะบอกว่าการควบคุมมันไม่สามารถให้เรากะน้ำหนักการขยับขึ้นลงของตัวละครได้เลย หากใครหวังจะเก็บคะแนนให้ลืมความคิดนั้นไปซะ
7. Cat Mario หรือ Mario Neko
ถ้าจะให้พูดถึงเกมที่เล่นแล้วชวนหัวร้อนถึงขีดสุด ชื่อCat Mario หรือ Mario Neko ต้องติดเข้ามาโผจัดอันดับอย่างแน่นอน ผมว่าเกมนี้มีน้อยคนที่จะได้ลองเล่นจริงๆ (ส่วนใหญ่อาจจะเป็นสายดูซะมากกว่า) และทนเล่นเกมนี้จนจบ
สำหรับ Cat Mario เป็นเกมแนว 2D Platformer ที่ให้อารมณ์เหมือนกับเกมต้นแบบอย่าง Mario อย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากเกม Mario อย่างสิ้นเชิงเลยก็คือความยากในระดับที่ยั่วโมโหผุู้เล่นอย่างเราๆ ได้ตั้งแต่ฉากแรกของเกม ซึ่งทุกอย่างในฉากสามารถฆ่าเราได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นก้อนเมฆประกอบฉาก, ท่อน้ำที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาชนเรา, เห็ด หรือกับดักกล่องล่องหน ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดของเกมมารวมกัน มันก็กลายเป็นเกมหัวร้อนอย่างสมบูรณ์แบบที่ชวนให้เราอยากจะลบเกมทิ้งไปในทันที
8. Getting Over It
มาต่อกันที่เกมที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Getting Over It หรือเกมปีนเขาด้วยค้อนนั่นเอง โดยช่วงที่เกม Getting Over It ออกมาวางจำหน่ายแรกๆ นั้นก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่สตรีมเมอร์ทั้งในฝั่งบ้านเราและสตรีมเมอร์ต่างชาติ ด้วยตัวเกมที่มีคอนเซ็ปต์การเล่นที่เรียบง่าย ผู้ชมสามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรมากมาย ทำให้การรับชมนั้นสนุกและเฮฮา แต่ในทางกลับกันหากคุณได้เปลี่ยนจากการเป็นผู้ชมมาเป็นผู้เล่น ประสบการณ์ที่คุณจะได้รับนั้นมันจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะเมื่อเราได้เข้ามาสัมผัสกับเกมเต็มๆ แล้วเนี่ย สิ่งหนึ่งที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ทันทีเลยก็คือความน่ารำคาญในการบังคับตัวละครที่แสนจะยากเย็น แค่เพียงขยับให้ตัวละครของเราเดินไปข้างหน้าก็ยากแล้ว แถมพอเเล่นไปสักพัก จากที่เดินในทางราบเรียบก็เปลี่ยนมาเป็นการไต่เขาสุดชัน ถ้าเกิดพลาดตกลงไปก็ต้องมาเริ่มเดินใหม่อีก (ตัวเกมไม่มี Checkpoint ครับ) พูดได้เลยว่าเกมนี้เหมาะจะเป็นเกมที่ดูคนอื่นเล่นมากกว่าที่เรามานั่งเล่นเอง
9. Touhou Project (ซี่รี่ส์ Touhou ทั้งหมด)
สำหรับในข้อนี้ผมขออนุญาตเหมารวมเกมทั้งซี่รี่ส์เลยจะดีกว่า เพราะทุกภาคแลดูจะยากจนปวดตับไปซะหมด (ยากจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว) เกมในซีรีส์ Touhou จะเป็นเกมแนวยานยิงแบบ Old School มุมมองจากด้านบน แต่ตัวเกมซี่รี่ส์นี้มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือความยากของเกมที่มาในนามของ Bullet Hell หรือเกมยานยิงที่มาพร้อมกับห่ากระสุนของศัตรูที่ถาโถมมาใส่ยานของเรานั้นเอง เรียกได้ว่าแค่ดูก็เวียนหัวแล้ว ถ้าลองเล่นจริงคงได้มีปวดหัวกันเป็นแน่ แถมตัวยานของเราก็แสนจะบอบบางตามสไตล์เกมยานยิงที่โดนกระสุนเพียงนัดเดียวก็โดนไปแล้วหนึ่งชีวิต และสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กลายเป็นเกมชวนหัวร้อนก็คงไม่พ้นความยากที่มีอยู่อย่างเหลือล้น ชวนให้ผู้เล่นที่ไม่ใช่สาย Bullet Hell ต้องยอมแพ้ไปตามๆ กันเลยทีเดียว
10. Overcooked 2
แหม่พูดถึงเกมชื่อนี้ผมว่าทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีนะครับสำหรับ Overcooked 2 เกมทำอาหารสุดป่วนจาก Team17 และ ณ ตอนนี้เกมก็ได้มีการพอร์ตลงแล้วหลายเครื่องตั้งแต่ PS4, Nintendo Switch, PC และ Xbox One บอกได้เลยว่าโอกาสที่คุณจะพลาดเกมนี้มีอยู่น้อยมากๆ และถ้าคุณกำลังสงสัยอยู่ว่า “อ้าว เกมนี้มันเป็นเกมครอบครัวไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นมีอะไรที่ชวนให้หัวร้อนเลยนิ“ ถ้าคุณคิดเช่นนั้นมันก็ถูกครับ ถ้าคุณเป็นสายเล่นขำๆ เล่นเฮฮากับครอบครัวหรือคนที่คุณรักมันก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณลองเปลี่ยนจากเล่นกับครอบครัวหรือแฟนมาเป็นการเล่นกับเพื่อนดูล่ะ? ผมเชื่อว่าบรรยากาศการเล่นภายในเกมมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วเกมเมอร์หลายท่านที่ชอบเล่นเกมกับเพื่อนๆ คงจะเข้าใจกันดีกับการด่าว่ากันระหว่างเล่นนั้นเป็นเรื่องปกติ (ด่าแบบขำๆ) แต่การกระทำเหล่านั้นมันอาจจะกลายเป็นความจริงจังในภายหลังเอาได้ เพราะในตัวเกม Overcooked 2 นั้น เมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆ เงื่อนไขในการผ่านจะยากขึ้น, คะแนนขั้นต่ำที่สูงขึ้น รวมไปถึงการแบ่งหน้าที่ที่มันจะวุ่นวายขึ้นไปอีก บอกได้เลยว่าต้องมีเดินชนกันในฉากจนน่าหงุดหงิดเลยก็ว่าได้ แถมบางฉากมันก็ทำให้ตัวละครของเราตกได้อีกต่างหาก ดีไม่ดีจากเกมเอาฮาน่ารักๆ อย่าง Overcooked 2 เล่นไปเล่นมาก็อาจจะหัวเสียไม่แพ้เกมสายแข่งขันอื่นๆ เลยได้
*ฺ Dota 2 (แถมๆ)
ไหนๆ ก็พูดถึงเกมที่ชวนหัวร้อนแล้ว ผมจึงอยากนำเสนออีกหนึ่งเกมที่หลายท่านคงรู้จักกันดีกับ Dota 2 ที่พูดเลยว่าถ้าใครเคยลองหรือได้สัมผัสมาแล้วต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมนี้มันที่สุดแห่งความ Toxic จริงๆ แถมเซิฟเวอร์บ้านเรา (เซิฟเวอร์ SEA) ยังเป็นที่เลื่องลือในคอมมูนิตี้ของผู้เล่น Dota 2 อีกต่างหากว่าเป็นเซิฟเวอร์ที่ Toxic มากที่สุดที่หนึ่ง และมันก็สมคำร่ำลือจริงๆ ครับ มันจริงถึงขนาดที่ว่าถ้าคุณเล่นสัก 10 ตา คุณจะต้องได้เจอผู้เล่น Toxic, โยนเกม, แครี่ 4 ตัว หรืออะไรก็ตามที่มันชวนให้เราปวดหัวกับเกมอีกมากมายหลายประการ
ก็จบกันไปแล้วนะครับกับ 10 เกมชวนหัวร้อนจนต้องกำหมัด เป็นยังไงกันบ้าง มีเกมไหนบ้างที่คุณเล่นแล้วรู้สึกหัวอุ่นๆ ผมว่านะอาการหัวร้อนจากการเล่นเกมจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่อยู่เคียงคู่กับเกมเมอร์มาเป็นเวลานานแล้วนะ (ตั้งแต่ยุคเกม Arcade นู่นเลย ผมเชื่อว่าก็มี) เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะมีสักครั้งสองครั้งที่เราจะหัวเสียกับเกมที่เราเล่น สุดท้ายนี้ก่อนจะจากกันไปยังไงก็ฝากไว้สักนิดนึงว่าควรเล่นเกมให้พอดี หัวร้อนให้พอประมาณ จงเล่นเกม อย่าให้เกมเล่นเรานะครับ