ผู้เล่น FFVIIR เริ่มถกเถียง ‘หรือจริง ๆ แล้ว Midgar ไม่ควรเป็นโอเพ่นเวิลด์’
ต้องยอมรับว่าเกมบางเกมมันไม่เหมาะจริง ๆ
ต้องบอกก่อนว่าเกม Final Fantasy VII ดั้งเดิมเปิดตัวในปี 1997 ไม่ใช่เกมโอเพ่นเวิลด์ แต่นำเสนอโครงเรื่องแบบเส้นตรงพร้อมองค์ประกอบการสำรวจเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ Final Fantasy VII Remake ที่เปิดตัวในปี 2020 และกลายเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับความนิยมที่สุดแห่งปีอย่างรวดเร็ว ได้ทำให้เมือง Midgar ซึ่งเป็นเนื้อหาส่วนต้นของเกมนั้นกลายเกมโอเพ่นเวิลด์ทำให้เราได้ออกสำรวจเมืองนี้ได้เต็มที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การออกแบบเมืองนี้ให้เป็นโอเพ่นเวิลด์ของเกมยังเป็นประเด็นถกเถียงในหมู่แฟน ๆ กระทู้ล่าสุดบน Resetera ซึ่งเป็นฟอรัมเกมยอดนิยมได้จุดประกายการอภิปรายด้วยคำถามที่ว่า “หรือจริง ๆ แล้ว Midgar ไม่ควรเป็น Open-World”
แฟน ๆ มีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ โดยบางคนแย้งว่า Final Fantasy VII Remake ควรจะเป็นโอเพ่นเวิลด์ พวกเขาเชื่อว่ามันจะช่วยให้มีการสำรวจและดื่มด่ำมากขึ้น โดยเฉพาะในเมือง Midgar อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ รู้สึกว่าโครงเรื่องที่เป็นเส้นตรงของเกมต้นฉบับเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของมัน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ประสบการณ์โดยรวมลดลง
ผู้ใช้ Resetera คนหนึ่งกล่าวว่า “ผมจำได้ว่าผมเคยหวังว่า Midgar จะเป็นโลกที่เปิดกว้าง แต่พอจริง ๆ แล้วผมกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ทุกเกมจะเหมาะสมกับโอเพ่นเวิลด์ เพราะโอเพ่นเวิลด์อาจทำลายการเล่าเรื่องด้วย” โดยเขาได้ระบุว่า ยุคสมัยก่อนของการเล่นเกมมันเหนื่อยมาก และเขาดีใจที่นักพัฒนาได้เรียนรู้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกมบางเกมมันไม่เหมาะกับโอเพ่นเวิลด์
“อย่าคิดว่ามันจำเป็นต้องเป็นโลกเปิดเสมอไป แค่ทำให้บางพื้นที่ใหญ่กว่าที่เรามีก็พอแล้ว” ผู้ใช้รายอื่นบนแพลตฟอร์มอธิบาย “เกม Final Fantasy VII Remake มีความเป็นเส้นตรงอย่างมากกับทางเดินในพื้นที่ที่ควรจะเปิดจริง ๆ แม้แต่พื้นที่เมืองเล็ก ๆ และด้วยความที่มันไม่ได้เป็นโอเพ่นเวิลด์แท้ มันทำให้ผมอึดอัดเล็กน้อย”
แน่นอนว่าการถกเถียงนี้ก็ค่อนข้างดุเดือด แต่ประเด็นก็จบลงโดยง่ายด้วยคำว่า “มันคือความชอบส่วนบุคคล” นั่นเองครับ
ในขณะเดียวกัน Final Fantasy VII Remake Intergrade มาพร้อมกับฟีเจอร์การสนับสนุนความสามารถใหม่ ๆ บนเครื่องเล่น PlayStation 5 มากมายอาทิเช่น ระบบสั่นที่สมจริง , กราฟิกพื้นผิวที่ดีขึ้น , แสงและเงา หรือสภาพแวดล้อมในเมือง Midgar ที่มีให้เลือกปรับระหว่าง Graphics Mode กับ Performance Mode ที่ให้ภาพลื่นไหลระดับ 60FPS เช่นเดียวกับหน้าจอโหลดชนิดชั่วพริบตา โดยเกมนี้วางจำหน่ายบน PlayStation 5 และ PC แล้ว