[รีวิว] Street Fighter 6 รุ่งอรุณใหม่แห่งสังเวียนนักสู้ข้างถนน
ตำนานบทต่อไปของแฟรนไชส์เกมต่อสู้ที่โด่งดังที่สุดในโลก
หมายเหตุ: บทความนี้อ้างอิงจากการเล่นเกมบน Xbox Series X และเวอร์ชั่น PC ผ่านอุปกรณ์ Steam Deck โดยการติดตั้งบน SD Card
คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเกมแฟรนไชส์ดังอย่าง Street Fighter ที่ไม่ได้เป็นแค่เพียงเกมต่อสู้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น หากแต่ยังทำหน้าที่เหมือนบันทึกแห่งกาลเวลาที่เป็นศูนย์รวมของป๊อบคัลเจอร์ที่ไม่มีวันตกยุค ซึ่งปัจจุบันเกมยังดำเนินเรื่องราวมาถึงภาคที่ 6 เป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าทุกย่างก้าวของนักรบไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ เช่นเดียวกับซีรีส์นี้ที่เพิ่งได้กลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง และ ThisIsGame Thailand ก็ไม่พลาดที่จะมาบอกเล่าความประทับใจเกี่ยวกับเกมผ่านรีวิวนี้ด้วยเช่นกัน และจะเป็นอย่างไรบ้างว่าแล้วอย่ารอช้ามาติดตามข้างล่างนี้เลย
【เกมเพลย์ที่ทำให้แฟนๆ เข้าหากันได้】
ต้องขอยกส่วนเกมเพลย์มาพูดเป็นจุดเริ่มต้นเพราะความน่าสนใจก็คือเมื่อผู้เล่นเปิดเกมครั้งแรก สิ่งที่เห็นไม่ใช่หน้าเมนูธรรมดาแต่เกมจะตัดเข้าสู่หน้าจอโหมดฝึกซ้อมเลยทันที มีการสาธิตการเล่น องค์ประกอบบนจอยเกมของเรา ความสามารถในปุ่มเตะต่อยทุกระดับว่าสำคัญแบบไหน และที่สำคัญที่สุดคือรูปแบบการกดปุ่มที่ต้องการ จะมีทั้งสิ้นสามแบบ โดยหลักๆ สองแบบจะเป็นแบบดั้งเดิมที่ผู้เล่นกดปุ่มพร้อมควงอนาล็อกแบบ 15 ทิศ (ว่าไปนั่น) หรืออีกแบบเรียกว่าแบบโมเดิร์นที่เพิ่มเข้ามาใหม่ อันนี้จะใช้งานได้ง่ายมากขึ้นคล้ายคำสั่งปุ่มลัดของ Tekken และการบังคับ Ryu – Ken ใน Smash Bros. ที่สามารถกดปุ่ม Trigger Button ด้านบนและรัวปุ่มเตะต่อยให้ทำคอมโบเท่ๆ ออกมาเองได้เลย ดังนั้นใครที่เป็นมือใหม่หัดเตะก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเล่นยากอาจจะเริ่มศึกษาจากแผงปุ่มโมเดิร์นไปก่อน ส่วนอีกแบบนั้นเป็นการกดปุ่มเดียวแล้วเรียกท่าออกมาเลย อันนี้ไม่สามารถใช้กับการเล่นออนไลน์ได้เลยไม่น่าพูดถึงมากเท่าไร
ต่อมาที่เมคานิกในเกมนั้น ดูผิวเผินอาจเป็นการต่อสู้แบบธรรมดาทั่วไปที่เล่นง่ายขึ้นแต่มิติของเเกมนั้นยังคงอัดแน่นไปด้วยเกมเพลย์ที่พลิกแพลงตลอดเวลา ชูโรงด้วยสิ่งที่เรียกว่า Drive Gauge ผู้เล่นสามารถพลิกแพลงมาใช้ได้แบบต่างๆ ทั้งการ Parry หรือการบุก ลักษณะของเกจนี้จะเป็นช่องเล็กๆ 6 เกจ หากเราตีรัวๆ ใส่ก็จะทำให้เกจอีกฝ่ายหมดได้ ทั้งนี้จะไม่เหมือนกับเกจท่าไม้ตายบริเวณด้านล่างจอที่มีอยู่แต่เดิม เพราะว่าในกรณีที่เรา Drive กันไม่ลืมหูลืมตา ตัวละครจะติดสถานะ Burnout หรือออกอาการเหนื่อยได้ และท้ายที่สุดเกมรองรับ Cross-play เช่นเดิม
【เปิดโลกใบใหญ่ ใบใหม่】
ภาคนี้ยังคงมีการนำเสนอแคมเปญขนาดยาวเช่นเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือจะไม่ใช่เกมที่มีภาพมูฟวี่สลับไปมาเหมือนกับ A Shadow Falls ในภาค V เพราะว่าเราจะได้ก้าวเท้าสู่สมรภูมิอันดุเดือด เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งการต่อสู้ในโหมด World Tour เลย ซึ่งโหมดนี้ผู้เล่นจะได้สร้างอวาตาร์ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวละครหลักในโลกเปิดขนาดใหญ่ เรียนรู้เรื่องราวของนักสู้ในตำนานทั้ง 18 คน และรับศิลปะการต่อสู้เข้ามา เอาเข้าจริงจะถามว่าเนื้อหามันสำคัญมากขนาดนั้นไหม คิดว่าไม่ได้มีส่วนที่ทำให้ดึงดูดและรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สืบเนื่องหรือส่งผลกระทบต่อเนื้อหาจักรวาลเกมมาก ส่วนมากก็จะเป็นการที่ตัวเราวิ่งไปท้าตีท้าต่อยกับ NPC หรืออาจารย์ที่ยืนตรงหน้า ทำเควสต์ ทุกอย่างมีหน้าจอที่เรียบเนียนตัดเข้ากันรวดเร็วดี อ้อ! ระบบกลางวันกลางคืนก็ใส่เข้ามา พร้อมเควสต์ที่จะเป็นคนละชุดกัน เล่นได้ยาวๆ และมีฉากจบที่พอจบแล้วโอเคเข้าใจ แต่ไม่ถึงกับว่าผูกเราเข้าสู่จักรวาลเกมจริงๆ
ถัดมาในส่วนของ Battle Hub โหมดตรงกลางเมนูก็จะเป็นประตูสู่โลกออนไลน์อย่างแท้จริง โดยผู้เล่นจะมีคัตซีนช่วงเปิดเรื่องให้เล็กน้อยเพื่อลากความเชื่อมโยงเข้าสู่ World Tour และอวาตาร์จากโหมดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ที่นี่ด้วย และว่ากันตามตรงนี่คือโหมดสำคัญของเกมนี้เลย ซึ่งลักษณะจะเป็นล็อบบี้ออนไลน์ขนาดยักษ์ที่ไม่ได้ให้ผู้เล่นมานั่งเล่นรอเข้าแมตช์ธรรมดา แต่ว่าสามารถทำกิจกรรมมากมายได้ตลอด ตรงนี้ชื่นชมไอเดียเลยเพราะทำให้มีการโต้ตอบจากตัวเกมเอง และเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมพิเศษมาจัดได้ในอนาคตเหมือนกัน หากยังจำกันได้ล็อบบี้ลักษณะนี้เคยทำขึ้นในสมัย Dead or Alive 4 เมื่อหลายปีก่อน แต่สำหรับ Battle Hub นั้นมีมิติมากกว่า ให้ลองนึกภาพของเมตาเวิร์สสำหรับเกมไฟท์ติ้งขนาดใหญ่ มีร้านค้าให้เลือกซื้อสกินตกแต่งตัวละครเรา มีแผ่นป้ายข่าวสาร จุดนั่งรอ หรือไปเล่นเกมตู้อาร์เคดก็ยังได้! ส่วนใครที่อยากท้าต่อสู้ก็เข้าไปหาผู้เล่นคนอื่นตามฉากได้เลย และเวทียังนำอวาตาร์มาปะทะกันขำๆ ได้เหมือนกัน
สังเกตว่า World Tour จะโฟกัสที่การเติบโตของตัวเรา ได้ตกแต่งตัวละคร ใช้เวลากับเหล่าปรมาจารย์ที่เราเติบโตมาพร้อมกัน แฝงการสอนเล่นเพื่อเคาะสนิมหรือ Ice-breaking ให้กับเราก่อนลงสนามจริง กระนั้นแล้วแฟนเซอร์วิสต่างๆ รวมไปถึง Easter Egg มีเพียบสะใจแน่นอน และยังเป็นการคอนเฟิร์มกลายๆ ถึงจักรวาล Final Fight ด้วยว่าที่จริงแล้วมันก็คือเรื่องราวเส้นเดียวกัน ขณะที่ Battle Hub นั้นจะให้อารมณ์เหมือนกับสนามรบจริงๆ ที่ผู้เล่นได้นำความรู้และฝีมือมาประชันกันกับผู้เล่นอีกมากมายทั่วโลก
【คอนเทนต์ในเกมเต็มแบบคือลือ】
โหมดการเล่นหลักของเกมได้ถูกเพิ่มเข้ามาครบๆ ให้เล่นกันตั้งแต่วันแรก กลบจุดเสียของภาค V ไปได้เป็นอย่างดีเลยครับ ซึ่งในส่วนของ Arcade Mode จะเป็นชื่อใหม่ว่า Story ลักษณะจะคล้ายกับ Character Story ในภาคที่แล้วแต่รวมเข้ากับโหมด Arcade ไปเลย ผู้เล่นสามารถเลือกนักสู้ทั้ง 18 คน ไปเล่นตะลุยด่านไปเรื่อยๆ (เลือกได้ด้วยว่าจะสู้ 5 คน หรือ 12 คน) เพื่อปลดล็อกคัตซีนภาพนิ่ง อาร์ตเวิร์กสวยๆ และอ่านเรื่องราวตัวละครในเกมที่เป็นเนื้อเรื่องของเกมตามจักรวาลจริงๆ ตรงนี้น่าเสียดายที่ไม่ได้ทำเป็นคัตซีนอนิเมะแบบภาคเก่า แต่ก็ถือว่าหยวนๆ กันเพราะน่าจะลงแรงไปจนส่วนของโหมด World Tour กับ Battle Hub ไปแล้ว นอกจากนั้นก็จะมีโหมดฝึกซ้อม โหมด VS หรือ Team Battle ตามมาตรฐานไม่ขาดตกบกพร่อง เน้นว่าเล่นได้ตั้งแต่วันแรก ไม่ต้องรออัปแพตช์นะจ๊ะ
อีกหนึ่งโหมดที่ถูกใส่เข้ามาเรียกว่า Extreme Battle ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นโหมดภารกิจท้าทายหรือเปล่า แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะจะเป็นเหมือนเกมโหมดปาร์ตี้มากกว่า โดยผู้เล่นสามารถเลือกกติกาย่อยๆ ได้ อาทิ โหมดแย่งชิงเกจด้วยการทำคอมโบต้อนคู่ต่อสู้ให้เกจฝั่งเราเต็ม แข่งกันออกท่าต่อสู้ตามที่โจทย์กำหนดให้ได้ตามจำนวนครั้ง และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่เพิ่มความปั่นป่วนก็คือ เราสามารถใส่สิ่งที่เรียกว่า ‘กิมมิค’ ได้ด้วย เช่น ปล่อยระเบิดลงมาจากฟ้า หรือจะให้มีกระทิงวิ่งผ่านหน้าจอไล่ขวิดผู้เล่น เท่านั้นไม่พอยังเอาศัตรูจาก Rockman มาเป็นอุปสรรคด้วย ถ้าเราตีมันได้ก่อนก็จะได้มาเป็นพวกช่วยต่อสู้ เน้นความฮาโดยเฉพาะ
ถ้ายังจำกันได้เรื่องของตัวละครในเกมภาค V ช่วงเปิดตัวนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่โดนจับจ้องมากที่สุดและโดนวิจารณ์มากที่สุดเหมือนกัน โดยจำนวนตัวละครนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหาสักเท่าไร แต่ความหลากหลายและไลน์อัปที่เห็นแล้วน่ากำหมัดเพราะนักสู้เด่นๆ หรือตัวเอกจากภาคต่างๆ ได้ถูกลบหายเกลี้ยงและใส่ตัวละครใหม่ที่หลายคนไม่ชอบดีไซน์เข้ามาแทน ทำให้แม้จะมีนักสู้บางคนที่แฟนๆ คิดถึงได้กลับมาแต่กระนั้นดูเหมือนว่าไม่ได้สร้างความพึงพอใจเท่าไร สำหรับในภาค 6 นี้เอง เกมมาพร้อมกับตัวละครเริ่มต้นที่ 18 คน ทว่าความดีงามก็คือเหล่านักสู้ Original 8 จากภาค 2 ได้ใส่มาครบ พร้อมด้วยตัวเด่นจากภาคต่างๆ อย่างเช่น Juri ตัวแทนภาค IV, Luke ตัวแทนภาค V ที่เป้นเหมือนมาสคอตประจำภาคใหม่เข้าไปแล้วแต่ก็ดูไม่แหวกแนวเกินไป ขณะที่ตัวละครอีก 6 คนที่เพิ่มเข้ามาเป็นครั้งแรกล้วนมีเอกลักษณ์ด้วยกันทั้งหมด
【กราฟิกและเพลง】
เกมภาคนี้มีการยกระดับประสบการณ์ด้วยเอนจิ้น RE Engine สุดทรงพลังที่ได้รับการพัฒนาเพื่ออุปกรณ์เกมระดับสูง ดังนั้นงานภาพจึงออกมาในแนว Photorealistic ที่นับว่าเป็นครั้งแรกของซีรีส์ในภาคหลักกันเลย และต้องยอมรับเลยว่าดูเข้ากันดีมากๆ แถมยังใสองค์ประกอบที่ทำให้มีอารมณ์ร่วมเข้ามาอีกไม่ว่าจะเป็นรอยแผล รอยเหงื่่อของตัวละครที่เกิดขึ้น และฉากหลังเองก็มีชีวิตชีวามากๆ ด้วย ในขณะที่เพลงประกอบก็เด่นไม่แพ้กัน ใครที่คิดถึงซาวด์แทร็กจากภาค III อยากบอกเลยว่าจะฟินกันเป็นแถบเพราะว่าในที่สุด Street Fighter ก็ได้นำเพลงแนว ‘สตรีทป๊อบ’ ‘แรป’ ที่มีความเป็นนักสู้ข้างถนนสูงมากๆ เข้ามาให้ด้วย ทุกอย่างมันเข้ากันและลงตัวไปหมดจริงๆ ครับ
【ลองเล่นบน Steam Deck】
ThisIsGame Thailand ได้มีโอกาสนำเกมนี้มาทดสอบกับ Steam Deck เพื่อสัมผัสประสบการณ์การเล่นแบบพกพาบ้าง ด้วยคุณสมบัติของ RE Engine แล้ว แน่นอนว่าการเล่นโดยรวมนั้นถือว่าเยี่ยมและทำเฟรมเรตได้ดีไม่มีตก ส่วนตัวแล้วแนะนำว่าปรับคุณภาพโดยรวมที่ระดับ Normal และเท็กซ์เจอร์ระดับสูง พร้อมลดจำนวนคนประกอบฉากลง ก็จะเล่นได้แบบสบายๆ แล้ว
ฉันใดก็ดีถ้าใครใช้ค่าแบบ Default ก็จะได้ความลื่นระดับปกติทั้งหมดแต่การเรนเดอร์จะไม่ค่อยคมเท่าไรครับ แนะนำว่าปรับส่วนนี้ขึ้นสักนิดการเล่นจะได้ดูสบายตา ภาพไม่เละ ทั้งนี้ทั้งนั้นโหมดการเล่น World Tour เจออาการสโลว์ดาวน์บ่อยแบบอารมณ์เเสียเลย คาดว่าเป็นเพราะโครงสร้างโหมดที่เป็นแนวโอเพนเวิลด์ ตรงนี้ต้องทำใจหน่อย ส่วนการเล่นปกติ ระบบออนไลน์ใช้งานได้สบายไม่ติดขัด
หมายเหตุ: ประสบการณ์บน Steam Deck ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาบทสรุปของเกมและคะแนนรีวิวแต่อย่างใด
【มีจุดที่ข้ามไม่พ้นไหม?】
เกมอาการโหลดเท็กซ์เจอร์ไม่ทันที่อยู่คู่กับ RE Engine มาหลายต่อหลายเกม และระบบการปลดล็อกที่อาศัยการฟาร์มยังคงเป็นโมเดลแบบเดียวกับภาค V แถมจะโหดกว่าด้วยซ้ำ เพราะในส่วนของสกินคลาสสิกที่ถึงแม้จะสามารถปลดล็อกได้ฟรีผ่านโหมด World Tour เมื่อทำความสนิทสนมกับอาจารย์ต่างๆ แต่ก็จะใช้เวลานานมาก ครั้นจะใช้ค่าเงินปลดล็อกก็ต้องเป็นเงินพรีเมียมที่เสียเงินอย่างเดียว ไม่มีแต้มฟรีให้แลกใช้แบบ Fight Money และเนื่องจากเกมมีการปรับการให้บริการเป็นกึ่ง Live Service ดังนั้นแม้จะเล่นออฟไลน์ได้ แต่การที่จะปลดล็อกสิ่งของต่างๆ หรือใช้งานระบบเกมได้อย่างราบรื่นต้องต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลาเหมือนกับภาค V เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลปลดล็อกสู่ระบบเซิร์ฟเวอร์ ส่วนการปลดล็อกตัวละครนั้นก็เป็นแบบเดียวกัน ตรงนี้น่าจะชินกันแล้วเพราะโมเดลธุรกิจเกมต่อสู้ใหม่ๆ ก็มีลักษณะคล้ายกันในปัจจุบัน
【นี่แหละคือกำแพงแห่งใหม่ของสังเวียนต่อสู้】
หากถามว่า Street Fighter 6 ถือว่าสมบูรณ์แบบหรือไม่ คำตอบคือใกล้เคียง ซึ่งเกมยังมีจุดที่หลายคนอาจรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่ถ้าถามผม Street Fighter 6 คือหนึ่งในเกมต่อสู้ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และการมาถึงของภาคนี้สร้างความตื่นเต้นได้ในระดับเดียวกันกับ Soul Calibur ภาคแรกบน Dreamcast ที่มีคอนเทนต์มากมายให้เราได้เล่นกันแบบยาวๆ หากคุณเป็นแฟนคลับของแฟรนไชส์นักสู้ข้างถนนแล้วล่ะก็ นี่คือผลงานที่ทุกคนรอคอยและจะได้รับความสนุกแบบเต็มอิ่มอย่างแน่นอนครับ
สำหรับใครที่สนใจก็สามารถหาเล่นกันได้แล้ววันนี้ทั้งบน PlayStation 5, PlayStation 4, Xbox Series X|S และ PC ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่เกมมีการสนับสนุนระบบครอสเพลย์แบบนี้ก็ทำให้เราสามารถสู้กับทุกคนได้บนทุกแพลตฟอร์มตามความสะดวกเลย และท้ายที่สุดนี้หาก ThisIsGame Thailand มีเรื่องราวอะไรสนุกๆ ก็จะไม่พลาดมาแบ่งปันที่นี่กันอีกเช่นเคยครับผม
เรื่องราวของภาคนี้ Ryu ยังคงเดินทางหาคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีเหมือนเดิม ในขณะที่ Chun-Li ได้วางมือจากกรมตำรวจและสอนกังฟูให้เด็กๆ หลังจากพบกับเหตุการณ์สะเทือนใจในภาค V ดังนั้นผู้ที่จะมาสานต่อเส้นทางการต่อสู้ก็คือ Luke พระเอกใหม่ และ Jamie อาจารย์หมัดเมาจากย่านไชน่าทาวน์ผู้รักความยุติธรรม อีกทั้งระบบ Drive System ที่เป็นเกจการต่อสู้ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรก และ Overdrive Arts ที่เป็นระบบใหม่เพิ่มเข้ามาแทน EX Move
คะแนน: 9/10