5 จุดที่น่าสนใจจากการทดลองเล่น Assassin’s Creed Mirage

เมื่อไม่นานมานี้ทางทีมงาน This Is Game Thailand ได้รับโอกาสสุดพิเศษจากทาง Ubisoft ในการเข้าร่วมเล่นเกม Assassin’s Creed Mirage แบบ Exclusive Hands-On ซึ่งในการทดลองเล่นนี้ทีมงานได้มีโอกาสสัมผัสกับเรื่องราว และเกมเพลย์ที่น่าสนใจจำนวนมาก และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับ5 จุดที่น่าสนใจจากการทดลองเล่น Assassin’s Creed Mirage กันครับ

อนึ่งเกมที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นนั้นยังไม่ใช่เกมเวอร์ชั่นเต็ม ฉะนั้นเกมเวอร์ชั่นสมบูรณ์ที่วางจำหน่ายอาจจะมีฟีเจอร์บางอย่างที่แตกต่าง หรือผู้เขียนอาจจะมีความเห็นเปลี่ยนไปก็เป็นได้ครับ

กราฟิกสวยงาม และละเอียดแบบสุด ๆ

สิ่งที่ผู้เขียนไม่อาจปฏิเสธได้เลยก็คือ กราฟิกภายในเกมนี้ทำออกมาได้ละเอียดสุด ๆ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้มองมุมกว้างจากตอนเปิดแมปบนหอคอยก็พบว่ารายละเอียดของสิ่งแวดล้อม และสิ่งปลูกสร้างถูกสร้างออกมาได้ละเอียดยิบ นอกจากนี้เมื่อเดินสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ เราจะได้พบกับ NPC เดินกันให้ขวักไขว่ รายละเอียดของต้นไม้ ต้นหญ้าก็ถูกทำออกมาได้ครบถ้วน ซึ่งทั้งหมดที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ก็คือการเล่นเกมในระดับความละเอียด 1080p เท่านั้น ซึ่งหากเล่นระดับ 4K หรือสูงกว่านี้ก็คงจะสวยงามกว่านี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามความละเอียดนี้กลับสร้างความยากให้กับการเล่นเกมไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องสำรวจเพื่อหา “อะไรสักอย่าง” ที่แอบซ่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ นั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก เพราะไอเทมเหล่านี้จะค่อนข้างกลืนไปกับฉากทำให้ผู้เขียนแทบจะต้องเปิด Eagle Eye ไว้ตลอดการตามหาของเหล่านี้เลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อเล่นไปสักพักใหญ่ ๆ น่าจะเกิดความเคยชินทางสายตาทำให้ผู้เล่นหาของได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่ได้เล่น Valhalla มาก่อนก็เล่นได้

เริ่มแรกเลยก็คือในแง่ของเนื้อหาภายในเกม Assassin’s Creed Mirage ที่หากใครกำลังกังวลว่าไม่เคยเล่นเกม Assassin’s Creed Valhalla จะเล่นไม่รู้เรื่องต้องบอกเลยว่าไม่ถึงขั้นนั้นครับ เพราะเรื่องราวหลัก ๆ ของเกมนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่ Basim ยังไม่ได้เป็นมือสังหารเลยด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าเราจะได้รู้จักเขาตั้งแต่ช่วงต้นชีวิต ก่อนที่จะกลายมาเป็นมือสังหารและออกทำภารกิจมากมายให้กับภราดรนักฆ่า อย่างไรก็ตามหากใครที่เคยเล่นเกม Assassin’s Creed Valhalla มาก่อนซึ่งผู้เขียนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องราวภายในเกมนี้จะเป็นเหมือนกับการเติมเต็มเรื่องราวของ Basim ที่เราพบในเกมก่อนหน้านี้นั่นเอง

ผู้เขียนแถมอีกนิดในแง่ของเนื้อเรื่องก็คือแม้ว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นรอบตัว Basim และภราดรนักฆ่าในแบกแดดเป็นหลัก แต่จะมีการพูดเชื่อมโยงไปยังทวีปอื่น ๆ ด้วยทำให้เห็นภาพว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของ Basim นี้เป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ของเหตุการณ์การต่อสู้กับ The Order ทั่วโลกอีกด้วย

บรรยากาศภายในเกมที่มีชีวิตชีวา

ในแง่ของบรรยากาศภายในเกมนี้ผู้เขียนยอมรับเลยว่าทางผู้พัฒนาเกมทำการบ้านมาดีมาก ๆ เพราะตลอดการออกผจญภัยในช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้เข้าไปเล่นเกมนี้ก็ได้พบกับ NPC จำนวนมาก แถม NPC หลาย ๆ คนจะเปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยด้วย ซึ่ง NPC แต่ละคนก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้เราได้ติดตาม ซึ่ง NPC เหล่านี้ไม่ได้ยืนอยู่เฉย ๆ หรือแค่มีแอ็กชั่นตามที่กำหนดไว้เงียบ ๆ แต่เพียงอย่างเดียว แต่เราจะได้ยินเสียงของพวกเขาและเธอเหล่านี้พูดคุยกันอย่างจ่อกแจ่กจอแจ ทำให้บรรยากาศนี้ดูคึกคักเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ในยามที่ผู้เล่นกลายเป็นที่ต้องการของทางการ (ค่า Notorious สูงสุด) เหล่า NPC จะมีปฏิกิริยากับเราอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเดินหนี วิ่งหนี ไปจนถึงสิ่งที่ทำผู้เขียนปวดหัวที่สุดก็คือการวิ่งไปหาทหารที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อตามพวกเขาให้มาจับเรา! แน่นอนว่าเมื่อค่าหัวของเราสูงถึงระดับสูงสุด การวิ่งบนหลังคาคือทางที่ดีที่สุดเสมอครับ

การพากย์เสียงที่ทำออกมาได้ดี

เหตุการณ์ภายใน Assassin’s Creed Mirage จะเกิดขึ้นในเมืองแบกแดด ประเทศอิรัก ทำให้สำเนียงการพูดของตัวละครเหล่านี้จะไม่ใช่สำเนียงอังกฤษแบบอเมริกันหรือบริติช แต่จะเป็นสำเนียงแบบอาหรับนั่นเอง ซึ่งที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือในการผจญภัยของเราเท่าที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นนั้น ผู้เขียนได้พบกับตัวละครชาวจีนด้วย ซึ่งสำเนียงของตัวละครเหล่านี้จะเป็นสำเนียงแบบจีนอีกด้วย

แต่ที่ผู้เขียนประทับใจไปมากกว่านั้นก็คือ ตลอดการเล่นเกมนี้แม้ว่าตัวละครจะคุยกันด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงต่าง ๆ ก็จะมีการแทรกภาษาต้นฉบับอยู่เรื่อย ๆ เช่น การทักทายด้วยภาษาอาหรับอย่าง “อัสซะลามุอะลัยกุม” หรือแม้แต่การแทรกภาษาจีนเข้ามาอย่างคำว่า “lái” ที่แปลว่า “มา” ในภาษาจีน และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือถ้าใครชื่นชอบการเล่นภาษาแม่ของเรื่องอย่างภาษาอาหรับก็มีให้ใช้งานเช่นกันครับ!

น่าเสียดายเล็กน้อยที่หากเปลี่ยนไปเป็นภาษาอื่น ๆ นอกจากภาษาอังกฤษ การขยับปากนั้นจะไม่ตรงกับคำพูดเท่าไหร่ แต่ก็สามารถมองข้ามไปได้ครับ

เกมเพลย์ที่มีส่วนผสมระหว่างเกม AC ยุคแรกและยุคหลัง

ทางทีมงานพัฒนาเกมได้โปรโมทมาตลอดเวลาว่าเกมเพลย์ภายใน Assassin’s Creed Mirage จะเป็นการย้อนหวนคืนสู่รากเหง้าของซีรีส์ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นเกมนี้ ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าทางผู้พัฒนา “พยายามกลับไป” อย่างที่บอกไว้ แต่พวกเขาเองก็ไม่พลาดที่จะนำระบบใหม่ ๆ มาใช้งานเหมือนเดิม ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าเกมเพลย์ไม่ใช่การย้อนคืน แต่เป็นการผสมผสานเกมเพลย์ของ Assassin’s Creed 2 ยุคเข้าด้วยกันเสียมากกว่า

เริ่มต้นจากการที่ตัวเกมนั้นยังมีแถบ HP ของศัตรูให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน รวมไปถึงรูปแบบการต่อสู้ค่อนข้างมีความดุดันเหมือนกับเกมยุคหลังมากกว่า นอกจากนี้เกมยังมาพร้อมกับระบบเหยี่ยวผู้ช่วยที่ได้มาจาก Assassin’s Creed Origins, ระบบอัป Skill Tree, อัปเกรดอาวุธที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่นเกม (ซึ่งในตอนนี้ผู้เขียนยังไม่อาจทราบได้ว่าเราจะเปลี่ยนอุปกรณ์บนตัวละครได้หรือไม่ หรือทำได้แค่อัปเกรด) แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือชุดคอสตูมที่ยังมีให้เราได้ใช้อย่างแน่นอน!

ในขณะเดียวกันการลอบเร้น และการซ่อนศพจากการลอบสังหารนั้นก็ทำออกมาได้ดี รวมไปถึงการใช้ไอเทมเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้ภายในเกมนี้ก็ให้อารมณ์เกมในยุคแรกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการใช้ระเบิดควันสุด OP ที่ปาเสร็จลอบสังหารศัตรูได้ทุกราย (ณ ตอนที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่น)

ผลจากการผสมผสานที่ออกมาก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้กำลังดี แต่ผู้เขียนแอบรู้สึกว่ายังเทมาทางเกม Assassin’s Creed ยุคใหม่อยู่พอสมควร ซึ่งเราก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าในตัวเกมเต็มนั้นจะมีองค์ประกอบอะไรให้เราได้ใช้งานกันอีกหรือไม่

Assassin’s Creed Mirage เป็นเกมแอ็กชั่นผจญภัยที่พัฒนาโดย Ubisoft Bordeaux และจัดจำหน่ายโดย Ubisoft เกมนี้จะเป็นภาคหลักลำดับที่ 13 ในซีรีส์ Assassin’s Creed และเป็นภาคต่อของ Assassin’s Creed Valhalla ในปี 2020 เกมนี้มีกำหนดวางจำหน่ายสำหรับ Amazon Luna, PlayStation 4, PlayStation 5, Windows, Xbox One และ Xbox Series X/S ในวันที่ 5 ตุลาคม 2023

เกมนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในกรุงแบกแดดสมัยศตวรรษที่ 9 ติดตาม Basim Ibn Ishaq (ตัวละครที่เปิดตัวครั้งแรกใน Valhalla) และการเปลี่ยนผ่านชีวิตของเขาจากหัวขโมยข้างถนนไปจนถึงสมาชิกเต็มตัวแห่งกลุ่มภราดรนักฆ่าที่ต่อสู้เพื่อสันติภาพและเสรีภาพกับเหล่า Templar Order