คอนโซล / พีซีสกู๊ปพิเศษ

10 เรื่องเกี่ยวกับ Final Fantasy ยุคคลาสสิคที่คุณอาจไม่เคยรู้

ย้อนดูเรื่องราวหลากหลายปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเกมยุคแรก

ถึงจะผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว แต่ชื่อของ Final Fantasy ก็ยังเป็นที่รู้จักของนักเล่นเกมทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ และยังคงมีการออกภาคใหม่มาอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับกราฟิกและรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ถึงจะเป็นเกมที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ภาคแรกๆ ตัวเกมในยุคสมัยนั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และยังคงมีปัญหารวมถึงเรื่องที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน

1. เกมวางจำหน่ายในช่วงคริสต์มาส

image 794

เนื่องจาก Final Fantasy ต้องการทำยอดขายให้ได้มาก ทำให้เกมหลายภาคโดยเฉพาะในช่วงแรกนั้นมักจะวางจำหน่ายในเดือนธันวาคม เพื่อที่วันคริสต์มาสจะสามารถทำยอดขายจากผู้ที่ต้องการจับจ่ายหาซื้อเกมเล่นในช่วงสิ้นปีได้มากที่สุด แต่การขีดเส้นตายเอาไว้ว่าจะต้องวางจำหน่ายในช่วงคริสต์มาส ก็มักทำให้เกิดปัญหาในการเร่งรีบพัฒนาตามกำหนด และทำให้พบข้อผิดพลาดในเกมตามมา

2. เอฟเฟกต์ Blind ไม่ทำงานใน NES

image 795

Blind เป็นสถานะที่อาจช่วยเหลือผู้เล่นได้ในบางครั้ง แต่การใช้งานให้ติดได้ตั้งแต่ครั้งแรกก็อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่นั่นก็ดีกว่าตัวเกมในเวอร์ชั่น NES ที่มีการเข้ารหัสไม่ดี จึงทำให้เอฟเฟกต์นี้กลับไม่แสดงผลการทำงานอออกมา

3. คาถาจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้

image 796

ใน Final Fantasyฉบับดั้งเดิมนั้นมีคาถาที่ไม่สามารถใช้ได้อยู่ และบางคาถายังส่งผลตรงกันข้ามอีกด้วย อาทิเช่น Lok2 ที่ควรจะลดอัตราการหลบหลีกของศัตรู ก็กลับเป็นการเพิ่มอัตราการหลบหลีกของศัตรูขึ้น 20% แทน จึงเป็นคาถาที่เอามาใช้งานจริงไม่ได้เลย

4. ค่า Intelligence ไม่ทำงาน

image 797

อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากโปรแกรม Error นั่นก็คือการที่ค่าสถานะ Intelligence ที่ควรจะเป็นตัวกำหนดความแรงของเวทมนตร์ในเกมกลับไม่ทำงาน ส่งผลให้พลังเวทย์นั้นจะไม่มีพลังโจมตีที่มากขึ้นกว่าเดิม และทำให้อาชีพ Red Mage สามารถใช้พลังเวทย์ได้เทียบเท่ากับ White Mage และ Black Mage ได้เลย

5. ความสามารถอาวุธที่ไม่ได้ใช้

image 798

มีไอเทมบางส่วนที่ได้รับการใส่มาอย่างเร่งรีบ และอาวุธพิเศษส่วนใหญ่นั้นก็มักจะเกิดบั๊กมากที่สุด เนื่องจากความสามารถพิเศษที่ควรจะมีนั้นกลับไม่ทำงาน อาทิเช่น Rune Sword ที่ไม่ส่งผลต่อศัตรูที่ใช้เวทมนตร์ หรือดาบ Xcaliber ที่ควรจะเป็นดาบที่มีพลังโจมตีรุนแรงที่สุด แต่ก็ไม่เกิดผลการดจมตีพิเศษขึ้นได้เหมือนกัน

6. แรงบันดาลใจจาก Dungeon & Dragons

image 799

หากใครที่เคยเล่นเกม Dungeon & Dragons มาก่อน จะสามารถจดจำชื่ออาชีพใน Final Fantasy ได้ทันที ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเล่นมาก่อนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น Warrior, Knight, Figther, Paladin เพราะเกมในภาคแรกนั้นดูเหมือนจะมีส่วนที่ได้แรงบันดาลใจจาก Dungeon & Dragons มาอยู่มาก แต่ทั้งสองเกมนั้นก็ไม่เคยมีปัญหาฟ้องร้องกันเลย

7. ผู้เล่นตะวันตกส่วนใหญ่รู้จักเกมนี้ครั้งแรกในปี 2003

image 801

หลังถูกกล่าวขานว่าเป็นเกมชื่อดังในตำนาน Final Fantasy ก็ได้รับอิทธิพลว่าได้รับความนิยมไปทั่วโลกจากการทำตลาดในตะวันตกด้วย หากแต่เกมในภาคแรกๆ นั้นไม่ได้วางจำหน่ายในตะวันตกทันที และผู้เล่นส่วนใหญ่ก็เพิ่งเคยรู้จักเกมนี้กันจริงๆ ตอนปี 2003 และใช้เวลานานในกว่าที่เกมภาคภาษาอังกฤษและเวอร์ชั่น NES จะวางจำหน่ายตามมาให้ได้เล่นกัน

8. เพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาภายใน 5 นาที

image 802

“Prelude” หรือเพลงโหมโรงนั้นเป็นเพลงประจำซีรี่ส์ Final Fantasy ที่ยอดเยี่ยมและสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของตำนานการเดินทางได้ทุกครั้ง หากแต่ว่าในจำนวนเพลงที่แต่งมาทั้งหมดนั้น เพลงเปิดอันอลังการนี้กลับเป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย และใช้เวลาในการแต่งขึ้นมาอย่างเร่งรีบภายในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง

9. คุณ Yoshitaka Amano ไมไ่ด้รับความคาดหวังในทีแรก

image 803

คุณ Yoshitaka Amano นั้นมีผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนล้วนจดจำ Final Fantasy ในยุคแรกๆ อีกทั้งเขายังได้เป็นผู้ออกแบบโลโก้ของเกมมาตั้งแต่ภาคแรกจนถึงปัจจุบัน หากแต่ช่วงแรกของการพัฒนาเกม Final Fantasy นั้น ดูเหมือนว่าคุณ Hironobu Sakaguchi จะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการทำงานในฐานะศิลปินของคุณ Amano จนกระทั่งคุณ Sakaguchi ได้เห็นผลงามศิลปะที่สวยงามของคุณ Amano ก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดไปทันที

10. ชื่อของเกมไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะ Square กำลังจะล้มละลาย

image 804

เป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจและถูกพูดถึงกันมาอย่างยาวนานตลอด ว่าชื่อเกม “Final Fantasy” เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยเป็นความหวังสุดท้ายของบริษัท Square ที่กำลังจะล้มละลายในสมัยนั้น แต่บิดาของเกมอย่างคุณ Hironobu Sakaguchi ก็ได้เคยบอกว่าทีมงานต้องการชื่อเกมที่มีตัวอักษรย่อว่า “FF” ซึ่งตอนแรกนั้นจะให้เกมมีชื่อว่า “Figthing Fantasy” แต่ชื่อนี้ได้ถูกใช้ไปแล้ว จึงต้องคิดชื่อใหม่ที่ไม่ซ้ำกัน และได้เปลี่ยนเป็น “Final Fantasy” ในภายหลัง

ที่มา
Gamerant
Back to top button