[สัมภาษณ์พิเศษ] โปรดิวเซอร์เกม Dragon Quest III HD-2D Remake

อีกไม่นานเท่านั้นครับในที่สุดเกม RPG คลาสสิกที่ทุกคนรอคอยมานานอย่าง Dragon Quest III HD-2D Remake ก็กำลังจะได้รับการวางจำหน่ายแล้ว และต้องบอกเลยว่าเป็นการกลับมาครั้งสำคัญของแฟรนไชส์ผู้กล้าที่ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ด้วยในฐานะที่เนื้อหาตามลำดับไทม์ไลน์ก็เป็นเกมภาคแรกของไตรภาคโรโตะพร้อมให้มือใหม่ได้เล่นกัน เมื่อเกมภาคที่เป็นปรากฏการณ์จะได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยเทคโนโลยี HD-2D ก็ปฏิเสธได้ยากเชียวว่ามันน่าตื่นเต้นและตื้นตันในเวลาเดียวกันครับ

โดยไม่นานมานี้ ThisIsGame Thailand ก็ได้รับโอกาสจาก Square Enix และ Bandai Namco Entertainment ในการเข้าสัมภาษณ์ คุณ Masaaki Hayasaka โปรดิวเซอร์ประจำโปรเจ็กต์สุดอลังการนี้เพื่อต้อนรับโอกาสเตรียมเปิดตัวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าด้วย ซึ่งจะมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจรวมไปถึงรายละเอียดการพัฒนาเกมในแง่มุมต่างๆ อย่างไรบ้างนั้น ว่าแล้วอย่ารอช้ามาติดตามกันได้ข้างล่างนี้เลยครับผม

• ก่อนอื่นอยากทราบเลยว่าทำไมทีมงานถึงเลือกใช้รูปแบบงานศิลป์ HD-2D ในโปรเจ็กต์การรีเมคครั้งนี้ครับ?

A: อย่างที่ทราบกันนะครับว่ารูปแบบงานภาพ HD-2D นั้นมีความโดดเด่นมากกว่าเมื่อใช้กับเกมเรโทร ซึ่งพวกเราก็ได้ตัดสินใจกันหลายครั้งว่าจะใช้กราฟิกแบบไหนจนกระทั่งตกมาที่รูปแบบนี้เพราะว่าสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ได้เหมาะสมที่สุดสำหรับเกมที่วางจำหน่ายมามากถึงเกือบ 30 ปี และแน่นอนว่ามันช่วยรักษารสชาติรวมไปถึงเสน่ห์ของเกมต้นฉบับได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยครับ นอกจากนั้นยังมีของใหม่ๆ ใส่เข้ามาเช่นฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ช่วยให้ผู้เล่นได้ใช้เวลากับเกมนี้มากขึ้นด้วย

• หากพูดถึงเกม Dragon Quest แล้ว งานดนตรีก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากๆ ดังนั้นอยากทราบว่าทีมงานมีขั้นตอนการทำงานอย่างไรเพื่อที่จะออกแบบดนตรีสำหรับเกมนี้เพื่อประสบการณ์รีเมคครับ?

A: ต้องย้อนกลับไปว่าความจริงแล้วผมเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมของ Octopath Travelers และได้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเสียงให้กับโปรเจ็กต์ดังกล่าวด้วยครับ พวกเราเลือกใช้การบรรเลงแบบออร์เคสตราเพื่อบรรยากาศของเกมให้ดูเรียบหรูมากขึ้น และมันเข้ากันกับงานภาพ HD-2D มากเลยในเกมนั้น พอได้มีโอกาสทำ Dragon Quest III แบบนี้ เราก็ตัดสินใจทำดนตรีบรรเลงสดวงใหญ่เลยครับ

• แล้วการทำงานกับกราฟิกแบบ HD-2D ในโปรเจ็กต์ที่ผ่านๆ มานั้น ได้มีการนำมาปรับใช้กับเกมนี้อย่างไรบ้าง?

A: อ๊ะ! ผมได้ดูแลในส่วนของ Octopath ในภาคแรกอย่างเดียว แต่ถึงอย่างไรในฐานะที่เกมนั้นเป็นเกมแรกที่เบิกทางงานภาพรูปแบบนี้ ดังนั้นผมก็ถือว่าตนเองได้มีบทบาทในการปรับจูนงานด้วยเหมือนกันเพื่อที่จะสร้างรากฐานให้กับเกม HD-2D อื่นๆ จุดที่ได้เรียนรู้ก็คือการออกแบบกราฟิกบล็อกโพลิกอนต่างๆ ไปจนถึงการออกแบบเสียงประกอบทั้งเสียงบรรยากาศรอบข้างอย่างเสียงน้ำไหล เสียงเอฟเฟกต์เป็นต้น แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ถูกนำมาใช้ในโปรเจ็กต์ปัจจุบันทั้งหมดครับ

• จะว่าไปเห็นว่าคุณ Masaaki ได้พูดถึง ‘ต้องการรักษารสชาติเดิม’ ของเกมแบบนี้ แล้วเคยมีความรู้สึกบ้างไหมครับว่าในระหว่างที่กำลังพัฒนาแล้วเกิดเห็นว่า ‘โอ๊ะ เราใส่อะไรมากเกินไป’ จนเสียอรรถรส?

A: ผมเข้าใจได้เลยนะครับว่าในการทำเกมรีเมคสมัยนี้มันมีวิธีการหลากหลายอย่าง มีทิศทางศิลป์อื่นๆ ที่สามารถเลือกได้ โดยบางเกมอาจจะพลิกโฉมโดยสิ้นเชิง บางเกมก็รีเมคโดยที่ยังให้ความเคารพกับเกมเดิม ซึ่งสำหรับเกม Dragon Quest III HD-2D Remake นั้นเราตั้งใจที่จะทำอย่างหลัง ก็จะไม่มีจุดที่รู้สึกว่าเกินขอบเขตที่กำหนดสักเท่าไร แต่สิ่งที่เราเจอจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่นการปรับแต่งประปราย

• สำหรับในส่วนของเนื้อเรื่องล่ะครับ มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ บ้าง?

A: เราต้องการที่จะให้ความสำคัญกับเกมต้นฉบับตามสูตรสำเร็จ และถ่ายทอดมาอย่างทันสมัยมากขึ้น ซึ่งเกมเดิมก็มีความลงตัวอยู่แล้วในด้านการเล่าเรื่อง ทุกอย่างจึงราบรื่นมากๆ ผมมองว่ามันค่อนข้างเหมาะกับทั้งเกมเมอร์รุ่นใหม่และรุ่นเก๋า แต่ถ้าถามว่าจังหวะการเล่นมันจะเร็วขึ้นหรือช้าลงไหม ตรงนี้คิดว่าระหว่างแบทเทิลก็ตอบโจทย์คนที่อยากเล่นด้วยความเร็วมากขึ้นตรงที่มีการปรับ Battle Speed ครับ

• เมื่อเกมมีอายุมากเกือบ 30 ปีแบบนี้ อยากทราบว่าทีมงานรู้สึกว่าการรักษาความรู้สึกเดิมๆ จากการเล่นให้คงอยู่ไม่มีเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายอย่างไรบ้าง?

A: ผมว่าการนำแผนที่เก่ามาถ่ายทอดในรูปแบบ HD-2D คือสิ่งที่ยากสำหรับทีมงานครับ เพราะถ้าสังเกตแล้วฉากต่างๆ ก็อาจจะต้องมีการปรับแต่งเล็กน้อยเพราะเราไม่สามารถใช้มาตรวัดในแบบเดิมได้อีกเนื่องจากสเกลของเกมมันแตกต่างจากเดิมมาก เราจะต้องทำให้พื้นที่ระยะห่างของดันเจี้ยน ตำแหน่งของเมือง ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างเหมาะสมด้วยกราฟิกสามมิติ โดยบางจุดก็มีการเปลี่ยนแปลงมุมกล้องไปเลยครับ และทีมงานได้ทำงานอย่างหนักมากๆ! แค่ส่วนนี้ก็วางแผนกันถึงสองปีเลยครับ

• มาถึงตอนนี้เราก็จะเห็นว่าการรีเมคนั้นต้องผ่านขั้นตอนพิจารณาสิ่งที่ถูกตัดออก หรือเพิ่มเข้ามา เพื่อให้เหมาะสมกับประสบการณ์เกมยุคปัจจุบันและเหมาะสมกับผู้เล่น จุดนี้อยากรู้ว่าทีมงานมีเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจครับ?

A: โดยรวมแล้ว พวกเราได้กำหนดเกณฑ์เอาไว้ว่า ‘จะต้องสนุกและทำให้แฟนเกมมีความสุข’ แน่นอนว่าหากเราตัดอะไรเพื่อเอาใจแฟนเกมกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งก็อาจเสียใจ เราก็พยายามมที่จะบาลานซ์ทั้งสองด้านเอาไว้เพื่อให้ทั้งแฟนเกมเก่าและใหม่ได้อย่างเหมาะสมที่สุดครับ

• ถ้าแบบนั้นแล้ว… พวกเราอยากทราบว่าทีมงานทำอย่างไรในการออกแบบคอนเทนต์เก่าและใหม่ โดยที่ไม่ทิ้งรสชาติเดิม?

A: ทีมงานพยายามเก็บรักษาความเป็นของดั้งเดิมเอาไว้ แต่สิ่งที่เราเพิ่มเข้ามาจะเป็นเรื่องจิตวิญญาณของตัวละครหรือความมีชีวิตชีวาในธีมเกมมากขึ้น เช่นปูมหลังของ Ortega ที่ในช่วงที่เกมเคยวางจำหน่ายบน Famicom อาจจะไม่มีอะไรให้โชว์มากนัก แต่ในภาคนี้เราจะได้เห็นมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ซึ่งถึงแม้สมัยก่อนจะมีความจำกัดอยู่บ้างแต่ผมก็ชอบเสน่ห์ของมันนะ แต่เราก็เชื่อว่าทีมงานเองก็มีไอเดียที่เคยถูกจำกัดด้วยเทคโนโลยีสมัยนั้น นี่ก็คือโอกาสที่จะได้ทำมันออกมา

• จากที่ทดลองเดโมในเมื่อไม่นานมานี้ พวกเราเองก็เห็นว่าเกมมีการมอบอิสระให้ผู้เล่นทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่นตามล่าโจร ล่าสมบัติมาจนกลายเป็นพระราชาเอง อยากทราบว่าทีมงานมีเบื้องหลังไอเดียเหล่านี้อย่างไร?

A: ผมคิดว่าตั้งแต่เกมภาคต้นฉบับก็ได้มีฟังก์ชันแบบนี้อยู่แล้วนั่นคือให้ผู้เล่นทำอะไรก็ได้ และเราเองก็นำมาถ่ายทอดสู่เกมรีเมคอย่างระมัดระวังมากๆ (หัวเราะ) ซึ่งด้วยมาตรฐานของยุคก่อนหน้า เกมนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่มีความเป็นโอเพนเวิลด์สมัยนั้นเลยด้วยครับ ผมอยากให้ทุกคนได้สัมผัสความรู้สึกแบบที่ว่าก็เลยต้องให้ความสำคัญเพื่อมอบความตื่นเต้นสำหรับทุกคน

• เกมจะมี New Game Plus ไหมครับ?

A: ไม่เชิงว่าเป็น New Game Plus แต่จะมีคอนเทนต์ท้ายเกมที่สามารถเล่นได้หลังจบเนื้อเรื่องครับ

• สิ่งที่ทีมงานรู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุดสำหรับเกมนี้คืออะไรครับ?

A: ตอบยากจังครับ (หัวเราะ) ผมขอคิดก่อนว่าควรจะพูดอย่างไร… แต่สำหรับผมแล้วในฐานะที่ตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งกับโปรเจ็กต์เกมระดับตำนานอย่างเกม Dragon Quest III ก็คือเรื่องที่น่าภูมิใจมาก และการที่ได้ทำงานกับคุณ Yuji Horii ที่เป็นผู้สร้าง Dragon Quest แบบนี้ ผมที่เป็นแฟนเกมของซีรีส์และได้เล่นเกมมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการเสียอีก ก็เลยกลายเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงและเป็นเกียรติมากครับ

• เมื่อทำงานกับคุณ Yuji แบบนี้ อยากรู้ว่ามีการร่วมงานอย่างไร ได้พูดคุยกันในระดับไหนบ้าง หรือเขาได้ตรวจงานแบบเข้มงวดไหม?

A: อย่างที่ว่าผมภูมิใจกับเกมนี้ มันก็มีความกดดันในระดับหนึ่งว่า ‘ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา… คงต้องออกจากวงการเกมเลยไหมนะ!?’ (หัวเราะ) ซึ่งความกดดันมันก็ดีตรงที่เราได้ทำงานอย่างตั้งใจมากขึ้น โดยคุณ Yuji ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบคุณภาพการพัฒนาโดยรวม และคอยให้ความเห็นเรื่องบาลานซ์เกมเชิงเทคนิค หรือให้ไอเดียเกี่ยวกับท่าโจมตีใหม่ๆ อะไรแบบนี้

• ท้ายที่สุด ในโอกาสที่เกมจะวางจำหน่ายแล้วในไม่ช้า ขอให้ฝากความเห็นกับแฟนเกมสักเล็กน้อยนะครับ

A: สำหรับผู้เล่นใหม่ก็อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสเกมนี้กันเพราะเป็นเกมระดับตำนานแห่งญี่ปุ่นและมีเนื้อเรื่องเหมาะสมกับการเป็นเกมแรกแถมยังมีการเพิ่มตัวช่วยการเข้าถึงที่ดีมากๆ ซึ่งเมื่อพัฒนาเพื่อประสบการณ์รีเมคเทคโนโลยีใหม่ก็ทำออกมาได้ดีมากทีเดียวครับ ส่วนผู้เล่นเดิมผมขอยอมรับว่าตนเองอาจจะไม่ได้มีความผูกพันกับภาคต้นฉบับเทียบเท่าทุกคน ทว่าเราก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้และอยากให้ทุกคนได้ปลดปล่อยจินตนาการไปด้วยกัน ส่วนแฟนเกมชาวเอเชียรวมถึงไทย พวกเราทราบถึงการสนับสนุนของทุกคนและตื่นเต้นมากๆ ที่มีเสียงตอบรับที่ดียิ่งกว่าในตะวันตกเสียอีก ถึงอย่างไรขอฝากเกมนี้และมาเล่นด้วยกันเยอะๆ นะครับ

สำหรับใครที่สนใจขอบอกว่า Dragon Quest III HD-2D Remake จะเปิดตัวบน PlayStation 5, Xbox Series X|S, Nintendo Switch และ PC ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ โดยจะเป็นการพัฒนาเกมยุค Famicom ขึ้นมาใหม่ด้วยกราฟิก HD-2D เหมือน Octopath Travelers ซึ่งกราฟิกโดยรวมเองก็จะอ้างอิงในแบบ 16-bit แทนแบบ 8-bit ของต้นฉบับ นับเป็นของขวัญสำหรับเกมเมอร์จากยุคทองของแนว JRPG สำหรับตัวเกมได้บอกเล่าเรื่องราวของ โรโตะ นักรบในตำนานที่ได้รับมอบหมายภารกิจในการปกป้องโลกจากวายร้าย บาราโมส และตามหาปริศนาของพ่อที่หายตัวไป