7 สิ่งที่อาจทำให้คุณประทับใจกับ Honkai: Star Rail

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวค่ายหมี หรือ miHoYo เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับเกมฟอร์มยักษ์อีกเกมของค่ายนี้ อย่าง Honkai: Star Rail ซึ่งได้ชื่อว่ามีคำว่า Honkai นำหน้า ก็น่าจะได้กลิ่นการเชื่อมจักรวาลซึ่งเป็นสิ่งปกติที่เกมค่ายนี้เค้าจะทำออกมาใช่ไหมครับ ในตอนแรกผมก็แอบคิดนะว่ามันจะเวิร์คหรอ เพราะว่า Honkai Impact กับ Genshin Impact ก็มีจุดเด่นของมันอยู่แล้ว และถ้าให้ Honkai: Star Railมาเป็นเกมลูกผสมของ 2 เกมนี้ มันจะออกมาดีจริง ๆ หรอ ไม่ฝืนเกินไปใช่ไหมนะ แต่พอได้ลองเล่นแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเกมใหม่และทำได้ดีกว่าที่คิดครับ ไม่ได้หลบอยู่แค่ในเงาของเกมรุ่นพี่เพระาเขามีสิ่งดี ๆ ที่เป็นของเขาเอง ไปชมกันครับ

1. การเชื่อมจักรวาลของเกมในเครือ miHoYo

การเชื่อมจักรวาลนั้นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ ค่ายและหลายเกมก็ชอบทำกัน มันเป็นเหมือน Easter Egg ที่ทำให้ผู้เล่นเก่ารู้สึกอ๋อขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หรือถ้าผู้เล่นใหม่มองย้อนกลับไปดูเกมเก่าก็จะรู้สึกว่ามันเจ๋งดีนะที่ทำแบบนั้นได้ ซึ่งแน่นอนว่า miHoYo ก็โดดเด่นเรื่องนี้อยู่แล้วครับ โดย Honkai Star Rail นี้ได้เป็นเนื้อเรื่องจักรวาลคู่ขนานของ Honkai Impact ครับ โดยจะมีอยู่ครั้งตัวละครที่ชื่อ Welt Yang ได้เข้ามายังทะเลควอนตัม แล้วค้นพบจักรวาลคู่ขนานมากมาย ซึ่งจุดนี้ในเนื้อเรื่อง Honkai Impact นี่แหละที่ทำให้เกิดเป็น Honkai Star Rail ให้เราเล่นกัน และตัวละครจาก Honkai Star Rail ก็ยังเป็นตัวในสติ๊กม่า (อุปกรณ์สวมใส่ในเกม) ที่เราเคยเห็นหน้าใน Honkai Impact หลายตัวครับ

2. มันคือ Honkai Impact + Genshin Impact ที่กลายเป็น Turnbased

อย่างที่บอกว่า Honkai: Star Rail มันคือเกมรุ่นน้องที่จับเอาจุดต่าง ๆ ของ Honkai Impact และ Genshin Impact มารวมกันขึ้นมาเป็นเกมใหม่ ในช่วงแรกหลายคนรวมถึงผมก็อาจจะรู้สึกว่ามันเล่นง่ายเกินไปไหม แต่พอได้ลองเล่นจริงแล้วบอกเลยว่ามันดีมาก ๆ เพราะสิ่งที่มาจาก Honkai Impact นั้นจะมีด้านเนื้อเรื่องและตัวละคร ส่วน Genshin Impact ที่นำเข้ามาจะเป็นหน้า UI ระบบธาตุและเกมเพลย์บางอย่าง แต่พอมันรวมกันมันก็กลายเป็นเกมใหม่แนว Turnbased ที่ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังเล่น 2 เกมข้างต้นนั้นอยู่เลย นี่คือเกมใหม่ที่มีจุดเด่นของมันเองแม้ว่าจุดกำเนิดอาจจะมาจากเกมรุ่นพี่ก็ตาม หน้าตัวละครอาจจะดูคุ้น หรือกราฟิกอาจจะไม่หลุดธีมเดิมมาก แต่พอเล่นเกมเพลย์ไปจะรู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ใหม่ครับ

3. ดีไซน์ตัวละครออกมาได้ยอดเยี่ยม

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจสำหรับ Honkai: Star Rail คือคาแรคเตอร์ดีไซน์ครับ เนื่องจากว่า miHoYo ชอบเล่นเรื่องความคุ้นหน้าคุ้นตามาหลายเกม แน่นอนว่า Honkai: Star Rail เองก็ไม่พลาดตรงจุดนี้ครับ การออกแบบตัวละครต่อให้เพื่อน ๆ เป็นผู้เล่นใหม่ ไม่เคยเล่นเกมรุ่นพี่ของค่ายนี้มาก่อน ก็รู้สึกว่าการออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม ธาตุประจำตัว อาวุธ สกิล และอุปนิสัยนั้นทำออกมาได้อย่างลงตัวและอิ่มความรู้สึกมาก ๆ แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเกมของค่ายนี้ล่ะก็คุณสามารถชี้หน้าตัวละครเรียงคนได้เลยว่าตัวนี้มี Ref. มาจากใครในเกมไหน ซึ่งมันจะให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราได้เห็นตัวละครที่เราชอบในมุมมองใหม่ ๆ บุคลิกใหม่ ๆ และมันทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยกับเกม Honkai Star Rail มากกว่าที่คิดแม้จะเล่นเป็นครั้งแรกก็ตาม

4. เพลงประกอบดีงามไม่ผิดหวัง

ขึ้นชื่อว่าเป็น miHoYo ไม่มีทางที่เรื่องดนตรีหรือเพลงประกอบจะน้อยหน้า เพราะค่ายนี้มีเพลงดี ๆ และดังพอที่จะจัดคอนเสิร์ตมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะเพลงจาก Honkai Impact นั้นเล่นใหญ่ขนาดจัดคอนเสิร์ต Orchestra ได้เลย และพอมาเป็น Honkai: Star Railก็คือไม่มีแผ่วครับ ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบตอนหน้าไตเติ้ลเกม ในเมือง ฉากต่อสู้ ตอนสู้บอส เพลงนั้นถูกประพันธ์ออกมาได้เข้ากับธีมและกระตุ้นความรู้สึกของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ซาวด์เอฟเฟคหลาย ๆ อย่างยังให้ความรู้สึกว่าเกมนี้มันเคลื่อนไหว ทั้งเสียงรถไฟวิ่งบนราง เสียงลมพัด เสียงน้ำไหล เสียงฝีเท้า มันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก ๆ ส่วนเสียงเอฟเฟคต่อสู้ไม่ต้องพูดถึง ตูมตามแบบเน้น ๆ สะใจแน่นอนครับ

5. มี x2 และมี Auto ถูกใจแฟนค่ายนี้ที่แทบไม่มีให้เห็น

จุดนี้ต้องเป็นจุดที่แฟน Honkai Impact และ Genshin Impact ต่างก็ต้องน้ำตาไหลเมื่อได้เห็น เพราะ Honkai Star Rail มีระบบ x2 เร่งความเร็ว และมีปุ่ม Auto ให้ตัวละครของเราต่อสู้เองได้แล้ว (เย้ 555) เพราะ 2 เกมรุ่นพี่ที่กล่าวมานั้นเป็นเกม Action RPG ที่มีการบังคับแบบเรียลไทม์ และเน้นไปที่เกมเพลย์สุดมันส์ แม้ว่าตัวเกมจะสนุกก็จริง แต่เวลาต้องฟาร์มของ ทำแบบเดิมซ้ำ ๆ มันก็มีเบื่อบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีปุ่ม Auto มาช่วยเลย กลายเป็นว่าต้องเล่นมือทุกอย่าง พอผ่านไปนาน ๆ มันก็แอบท้อที่จะฟาร์มเหมือนกันครับ เพราะงั้นระบบ Auto กับ x2 ของเกมนี้นี่แหละที่จะช่วยให้เราสามารถฟาร์มได้อย่างสะดวกขึ้นนั่นเอง ดีใจมาก ๆ เลยครับ ในที่สุดก็มีกับเขาสักที

6. กราฟิกดีเลิศ หน้า UI มินิมอลดูพรีเมี่ยม

ในด้านของกราฟิกนั้นก็เรียกได้ว่าดีเลิศสำหรับกราฟิกแนว Anime เลยทีเดียว เพราะเอาจริง ๆ แค่ Honkai Impact และ Genshin Impact เกมรุ่นพี่ก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เกมน้องใหม่ที่เปิดตัวมาในยุคปัจจุบันที่สุดก็ต้องมาพร้อมกับกราฟิกที่ตระการตาอยู่แล้ว ทั้งลายเส้นของตัวละคร เอฟเฟคการโจมตี ฉาก เมือง ธรรมชาติ เทคโนโลยี พลังเวทย์และอื่น ๆ ล้วนทำออกมาให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมมาก ๆ ไม่รู้สึกว่าเกมนี้เป็นเกมเกรด B แต่อย่างใด คุณภาพพอ ๆ กับเกม RPG Anime บนเครื่อง Console ด้วยซ้ำ แถมหน้า UI และ Interface ต่าง ๆ ยังทำออกมาได้คมกริบ มินิมอล ไม่รกตา ทั้งการจัดวาง การเลือกใช้ไอค่อนและฟอนต์ ก็ถูกคิดมาให้ดูเนี้ยบและดูแพงทุกอย่างครับ 

7. เกมเพลย์สนุก ได้คิด ได้วางแผน

มามองดูในส่วนของเกมเพลย์เป็นหลักกันบ้าง Honkai: Star Rail เป็นเกม Turnbased แนววางแผนที่ต้องอาศัยการจัดทีม อัปเกรดอุปกรณ์ และเตรียมการล่วงหน้า คุณอาจจะสามารถเปิด Auto ได้ถ้าคุณแข็งแกร่งพอ แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยไหวถ้าต้องเจอกับศัตรูที่เป็นบอสหรือคอนเทนต์แนวท้าทายจริง ๆ เพราะงั้นการเข้าใจระบบแพ้ธาตุ จุดเด่นของโรลตัวละครแต่ละสาย รวมไปถึงการจัดทีมตัวละครที่มีสกิลซัพพอร์ตกันและกันจึงเป็นสิ่งที่ต้องคิด สำหรับคนที่ชอบเกม Action ตะลุยตรง ๆ ไม่คิดอะไรอาจจะเป็นจุดที่น่าเบื่อสักหน่อย แต่ถ้าคุณชื่นชอบการวางแผนและท้าทายความคิดตัวเอง Honkai Star Rail จัดว่าเป็นเกมที่ทำระบบต่อสู้ได้สนุกและตื่นเต้นมากครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับกับ “7 สิ่งที่อาจทำให้คุณประทับใจกับ Honkai: Star Rail” ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ จะคิดเหมือนกันไหมนะครับ แต่จากคนที่เล่นทั้ง Honkai Impact และ Genshin Impact มาทั้ง 2 เกม แล้วมาเล่น Honkai Star Rail ก็ยังรู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อยเลย แม้ช่วงแรกอาจจะมีตั้งการ์ดไว้ในใจว่าจะทำออกมาสู้เกมรุ่นพี่ได้ไหมนะ แต่พอได้ลองเล่นก็เข้าใจเลยครับว่ามันคือคนละเกมถึงแม้ว่ารากฐานบางอย่างจะมาจากเกมเดิม แต่กลับไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจเลย แถมเกมเพลย์ยังสนุกถูกใจสาย Turnbased เอามาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองกันครับ 🙂

สำหรับใครที่ชื่นชอบบทความนี้ ก็อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์และติดตามข่าวสารของทาง TIG ที่จะอัปเดตเรื่อย ๆ ในครั้งต่อไป

วันนี้ขอลาไปก่อน บะบายยย～

♪♫ ～ ♪♫ ～ ♪♫ ～♪♫ ～ ♪♫ ～