7 ประเด็นดราม่าวงการเกมที่เราพบเห็นได้บ่อยครั้ง

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ตั้งแต่ที่วงการเกมนั้นได้เริ่มมีการเติบโตมากขึ้น มีเกมออนไลน์ มีระบบ Multiplayer ไปจนถึงมีการแข่งขันในระดับ E-Sports ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเกมก็มักจะมีสื่อต่าง ๆ เข้าไปทำข่าวอยู่เสมอ อีกทั้งสังคมยังให้ความสนใจกับวงการนี้เป็นพิเศษด้วย เพราะนอกจากจะทำเงินได้อย่างมหาศาลแล้ว บุคลากรในวงการนี้ยังเป็นแบบอย่างและไอดอลของเด็กรุ่นใหม่อยู่หลายคน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง นอกจากประเด็นที่เกิดจากตัวคนแล้ว ก็ยังมีประเด็นที่เกิดจากทีมผู้พัฒนาเกมอีกด้วย เรามาชมกันครับว่าดราม่าวงการเกมส่วนใหญ่ที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อย ๆ นั้นจะมีแบบไหนบ้าง

1. ผู้เล่นโดนแบนมั่วทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำผิด

เคสนี้มักจะเกิดขึ้นให้พบเห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมเก่าระดับตำนาน หรือจะเป็นเกมมือถือยุคปัจจุบันที่กำลังให้บริการอยู่ ณ ตอนนี้ และไม่ว่าวิธีการแบนผู้เล่นนั้นจะเป็นการแบนจากการใช้ระบบ AI ตรวจจับ หรือจะใช้ GM ซึ่งเป็นมนุษย์ในการพิจารณาการให้โทษแบนแก่ผู้เล่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหน ผู้เล่นที่ถูกแบนและออกมาโวยวายกันส่วนมาก เท่าที่เราเห็นมักจะเป็นผู้เล่นที่ไม่ได้กระทำความผิดอะไร เหมือนเล่นเกมอยู่ดี ๆ แล้วก็โดนหาว่าใช้โปรแกรมโกงหรือใช้บัคที่เกิดจากปัญหาของตัวเกมซะมากกว่า ทำให้ผู้เล่นที่ถูกแบนเกิดความไม่พอใจและนำไปโพสลงในคอมมูนิตี้เกมนั้น ๆ จนทำให้คนอื่นที่ไม่ได้ถูกแบนเริ่มไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการของทางเกม ประเด็นนี้ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ครับ

2. เกมจริงไม่ดีเหมือนอย่างที่โฆษณาเอาไว้

การโฆษณาเกินจริงนั้นเป็นปัญหาจากทางฝั่ง PR ของเกมที่เน้นขาย เน้นโปรโมทให้คนหันมาสนใจ แต่เนื่องจากสิ่งที่โฆษณาเอาไว้นั้นเกินกว่าสิ่งที่ตัวเกมจะทำได้ หรือถูกเวลาบีบบังคับให้ปล่อยตัวเกมออกมาขายโดยที่เกมยังไม่เสร็จ ในอดีตก็มีให้เราได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เอาที่เห็นได้ชัดเจนก็คงจะเป็น Cyberpunk 2077 ที่งานขายสเกลระดับโลกแต่เกมจริงสเกลระดับตำบล ขาดสิ่งที่โฆษณาไปมาก ไม่เป็นเหมือนที่พูด ทำให้ผู้เล่นที่คาดหวังเกิดความไม่พอใจ หรือแม้จะเป็นเกมที่มีการเปลี่ยนแปลงกลางคัน ถือว่าเสร็จ แต่ก็ไม่สมบูรณ์ดี อย่าง Final Fantasy XV ที่พัฒนากว่า 10 ปี มีคนรอและคาดหวังไว้สูง แต่ด้วยปัญหาภายในเลยทำให้เกมออกมาไม่สมบูรณ์ หั่น DLC ขาย ต้องให้คนไปอ่านนิยาย ดูหนัง ดูอนิเมะเพิ่ม เพื่อจะเติมเต็มส่วนที่ขาด นั่นเลยทำให้ผู้เล่นไม่พอใจอย่างมาก และนี่ยังไม่นับเกมที่โฆษณาเวอร์ ๆ ตามโซเชียลมีเดียด้วยนะครับ ที่โฆษณาเป็นเกมเพลย์แบบนึง แต่พอเล่นจริงเป็นอีกเกมไปเลย

3. เปิดเซิร์ฟใหม่ต่อคิวเข้าเกมนานเวอร์

เคสนี้เป็นเคสที่แทบจะเป็นกับทุกเกมทุกค่ายที่เพิ่งจะเปิดเซิร์ฟเวอร์ใหม่ ๆ และเป็นเกมดังที่มีผู้คนรอคอยทั่วโลก ส่วนใหญ่จะเป็นเกม Free-to-play IP ใหญ่ที่มีผู้เล่นรอคอยหลักหมื่นหลักแสนจากทั่วโลก ปัญหามักเกิดจากการที่ผู้พัฒนาคาดการณ์ปริมาณของผู้เล่นไม่ถูกต้อง มีเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้รองรับผู้เล่นไม่เพียงพอ ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากต้องต่อแถวรอเข้าคิวเพื่อเข้าเกมกันเป็นพันเป็นหมื่นคิว ซึ่งกว่าจะได้เล่นเกมจริง ๆ ก็ต้องรอหลายชั่วโมง แถมยังมีโอกาสหลุดทำให้ต้องไปต่อคิวใหม่ เลยทำให้ผู้เล่นที่ประสบปัญหานี้ไม่พอใจและโพสบ่นให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ในโซเชียล บางคนถึงกับถอดใจไม่เล่นเกมนี้ไปเลย บางคนก็โพสต่อแชร์กันไปเป็นประเด็นจริงจัง มีมาให้เห็นตั้งแต่ยุค Ragnarok Online, Lost Ark หรือ Overwatch 2 ที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน และยังมีเกมอื่นอีกมากที่ประสบปัญหานี้ครับ

4. คำวิจารณ์เกมของสตรีมเมอร์ชื่อดัง

ต้องยอมรับว่าสตรีมเมอร์คือช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกมต่าง ๆ มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเล่นเกมของพวกเขาผ่านไลฟ์สด และด้วยความมีชื่อเสียงของสตรีมเมอร์ก็ทำให้สตรีมเมอร์หลาย ๆ คนกลายเป็นไอดอลของคนทั่วไป เวลาที่พวกเขาพูดอะไรก็มักจะมีคนเชื่อ ซึ่งเวลาที่เกิดประเด็นขึ้นมาก็มักจะเป็นเรื่องที่สตรีมเมอร์ชื่อดังวิจารณ์เกมที่เขาเล่น เช่น เกมนี้มันห่วยแตก, ผมจะเลิกเล่นเกมนี้แล้ว, เกมนี้บาลานซ์แย่มาก เป็นต้น คำพูดต่าง ๆ ของคนมีชื่อเสียงระดับโลกก็มักจะถูกแชร์จากกลุ่มแฟนคลับที่เห็นด้วย จนกระทั่งวลีเด็ดเหล่านี้ได้ไปกระทบหูกับคนที่เห็นต่าง หรือคนอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับคำวิจารณ์นั้น ๆ จึงทำให้เกิดประเด็นดราม่าขึ้นในวงกว้างครับ ยิ่งสตรีมเมอร์คนนั้นดังมากเท่าไหร่ ผลกระทบของดราม่าก็จะยิ่งกว้างเท่านั้น

5. พฤติกรรมบางอย่างของนักกีฬา E-Sports

นอกจากสตรีมเมอร์แล้ว นักกีฬา E-Sports ก็เป็นอีกหนึ่งบุคลากรที่เป็นไอดอลของเด็กยุคใหม่หลาย ๆ คน มีคนดูเยอะ บางคนมีช่องเอาไว้สตรีมมิ่งเป็นของตัวเอง มีผู้ติดตาม มีแฟนคลับจำนวนมาก แน่นอนว่าไม่ต่างอะไรจากสตรีมเมอร์เลยครับ แต่สิ่งที่ทำให้คำพูดหรือพฤติกรรมของพวกเขามีน้ำหนักมากขึ้นก็คือการที่ได้ไปแข่งหรือจุดที่เป็นตัวแทนประเทศแล้วมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แม้อาจจะมาจากความไม่ตั้งใจ ความกดดันภายในเกม ดีใจจนออกนอกหน้า หรือจะเป็นคำพูดเพื่อเชียร์อัพเพื่อนร่วมทีมก็ตาม ทุกอย่างที่พวกเขาทำอาจมีคนไม่เห็นด้วยถ้าการกระทำเหล่านั้นถูกเผยแพร่ออกมาให้คนทั่วไปเห็น ต่อให้มันจะไม่ได้ดูผิดอะไรขนาดนั้น แต่มันอาจดูไม่เหมาะสมสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ จนเกิดเป็นประเด็นดราม่าได้เสมอครับ

6. การสไนป์ป่วนสตรีมเมอร์

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักการสไนป์ก็อยากจะอธิบายว่า การสไนป์คือการที่เราเปิดจอดูสตรีมเมอร์ที่กำลังเล่นเกมนั้น ๆ อยู่ แล้วเรากดหาห้องพร้อมกันกับสตรีมเมอร์คนนั้นเพื่อให้ได้เล่นเกมเดียวกัน เมื่อเราได้ร่วมเกมกับสตรีมเมอร์คนนั้นแล้วเราจะใช้การมองจอสตรีมเมอร์ที่กำลังไลฟ์สดอยู่ เพื่อดักฆ่าหรือทำเกมให้ชนะสตรีมเมอร์คนนั้นครับ วิธีการนี้อาจเกิดขึ้นได้กับเกม FPS, Battle Royale หรือ MOBA และเกมแนวอื่น ๆ ที่มีระบบ Multiplayer เพื่อแกล้งสตรีมเมอร์คนนั้น ๆ ซึ่งมันจะไม่ต่างอะไรจากการโกงหรือทำให้เสียบรรยากาศ ในระดับสากลแล้วการกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเกลียดมาก ๆ ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายรองรับ หรือกฎเกมที่ป้องกันการเล่นแบบนี้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นก็อาจจะโดนดราม่าแรงพอสมควรเลยล่ะครับ

7. เกรียนคีย์บอร์ดที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาท

เป็นเรื่องที่เราเห็นชนชินตาไปแล้วสำหรับบ้านเรา ที่จะมีกรณีสตรีมเมอร์ชื่อดัง หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง ได้ทำการฟ้องหมิ่นประมาทให้กับเกรียนคีย์บอร์ดจำนวนไม่น้อยที่กล้าพูดอะไรลับหลังหรือกุข่าวลือ สร้างข่าวเท็จ ให้ทำให้พวกเขาเสียชื่อเสียงแบบไม่มีหลักฐานใด ๆ หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นแค่ Toxic แต่มันอาจจะล้ำเส้นไปหน่อย ก็เลยทำให้สตรีมเมอร์เหล่านั้นต้องดำเนินคดีทางกฎหมายและฟ้องหมิ่นประมาท แจกหมายศาลให้กับเกรียนคีย์บอร์ดเหล่านั้นไม่ต่างอะไรจากการแจกใบปลิว ซึ่งเป็นเรื่องที่เราพบเห็นได้บ่อย ๆ จนชินตาไปซะแล้วล่ะครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ “7 ประเด็นดราม่าวงการเกมที่เราพบเห็นได้บ่อยครั้ง” ตรงกับประสบการณ์ที่เพื่อน ๆ เคยเห็นกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย อย่างว่าแหละครับ พอมีโซเชียลมีเดียก็ทำให้มีประเด็นดราม่าได้ง่าย ยิ่งเป็นประเด็นที่เกิดกับคนดังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น แล้วเพื่อน ๆ ล่ะครับมีดราม่าวงการเกมอะไรที่พบเห็นอยู่บ่อย ๆ แล้วไม่ตรงกับ 7 ข้อที่กล่าวมาบ้างไหม ลองคอมเมนต์บอกให้เราได้อ่านกันด้วยนะครับ 🙂