สกู๊ปพิเศษ

10 เกมระบบเยี่ยมแต่ Soundtrack แย่

แม้จะเล่นสนุกแต่เพลงประกอบกลับทำให้แฟนๆ ต้องปวดใจ

ถ้าเพื่อนๆ ลองคิดถึงองค์ประกอบสำคัญที่สุดของวิดีโอเกม สิ่งแรกที่เพื่อนๆ หลายคนอาจคิดถึงเป็นอย่างแรกคงไม่พ้นเกมเพลย์ เพราะขึ้นชื่อว่าเกมทั้งทีย่อมต้องมีระบบที่เล่นสนุกเป็นเรื่องธรรมดา แต่นอกจากเกมเพลย์ที่ว่าสำคัญแล้วเพลงประกอบหรือ Soundtrack ก็สำคัญไม่แพ้กัน และถ้าเราลองสังเกตดูดีๆ แทบจะไม่มีเกมไหนเลยที่ปราศจากเพลงประกอบ เพราะมันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดทิศทางความรู้สึกของผู้เล่น ให้คล้อยตามไปกับเพลงตั้งแต่เพลงฟังสบายๆ ให้เรารู้สึกผ่อนคลาย, เพลงเร็วสุดเร้าใจฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม, เพลงช้าคลอเบาๆ ที่สื่อถึงความเศร้า ไปจนถึงเพลงชวนระทึกให้เรารู้สึกกดดันจนลุกไม่ขึ้น เรียกได้ว่าองค์ประกอบนี้เป็นส่วนสำคัญในการทำเกมอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นยังมีบางเกมที่มีระบบเกมเพลย์อันยอดเยี่ยม แต่กลับมีเพลงประกอบที่แย่เกินจะรับไหว ถ้าเพื่อนๆ เริ่มสงสัยว่ามีเกมอะไรบ้าง เรามาเริ่มไล่พร้อมกันเลยดีกว่า

1. Final Fantasy X-2

ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อสายตัวเองเหมือนกันว่าจะเห็นชื่อ Final Fantasy หลุดเข้ามาในนี้เพราะโดยปกติต่อให้ Final Fantasy ภาคนั้นจะห่วยแค่ไหนสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยพลาดคือ Soundtrack ที่ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานแต่สำหรับ Final Fantasy X-2 อาจเรียกได้ว่าเป็นแกะดำของซีรี่ส์เพราะถึงแม้ว่าระบบเกมต่างๆ ของ Final Fantasy X-2 จะยอดเยี่ยมแต่เพลงประกอบของมันกลับทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ผู้ประพันธ์หลักอย่าง Nobuo Uematsu ไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมนี้เป็นผลให้เพลงประกอบใน Final Fantasy X-2 เหมือนหลุดมาจากเกมเต้นไม่มีผิด

2. Street Fighter 4

Street Fighter 4 น่าจะเป็นเกมในตระกูล Street Fighter ที่มีระบบการเล่นเกือบสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะมันเป็นเกมต่อสู้ที่มีระบบการเล่นที่ซับซ้อนเอาเรื่อง ทำให้ในเวลานั้น Street Fighter 4 กลายเป็นเกมต่อสู้ระดับแนวหน้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้ว่าเกมเพลย์ของมันจะยอดเยี่ยมเพลงประกอบของ Street Fighter 4 กลับธรรมดาอย่างน่าเหลือเชื่อชนิดที่ Street Fighter 3 ยังทำดีกว่าอย่างชัดเจน

3. Burnout Paradise

เกมแข่งรถดีๆ ย่อมต้องมาพร้อมกับเพลงประกอบสุดเร้าใจ เพราะมันจะเป็นตัวเสริมให้เกมเพลย์ความเร็วสูงดูเร้าใจมากกว่าเดิม แต่ใน Burnout Paradise มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะถึงแม้ว่าตัวเกมจะมีระบบขับรถสุดระห่ำ ที่เปิดโอกาสให้เราสามารถขับชนรถคู่แข่งได้อย่างสะใจ แต่เพลงประกอบของ Burnout Paradise ถ้าพูดกันตามตรงคือมันออกแนวมั่วๆ นิดหน่อยครับ เพราะเพลงประกอบใน Burnout Paradise เป็นเหมือนการนำเพลงร็อคกับเพลงแนวอื่นๆ มายำรวมกัน เพียงเพื่อให้ผู้เล่นพอมีอะไรฟังฆ่าเวลาเท่านั้นเอง

4. Dragon Quest 11: Echoes Of An Elusive Age

สำหรับเกม RPG ที่มีระบบเกมการเล่นอันยอดเยี่ยม ย่อมมาพร้อมเพลงประกอบที่ดีงามไม่แพ้กัน แต่สำหรับเกมอย่าง Dragon Quest 11: Echoes Of An Elusive Age จะมีความต่างออกไปอยู่พอสมควรเพราะเพลงประกอบของ Dragon Quest 11: Echoes Of An Elusive Age ถ้านำมาเทียบกับเกมอื่นๆ ในแนวเดียวกัน Soundtrack ของ Dragon Quest 11 จะค่อนข้างธรรมดามากๆ แต่อาจเป็นเพราะธีมเรียบง่ายของซีรี่ส์ Dragon Quest ทำให้เพลงประกอบของมันไม่ค่อยจะโดดเด่นสักเท่าไหร่

5. Splatoon 2

หากพูดถึงเพลงประกอบของ Splatoon 2 ถ้าเราพิจารณาเรื่องความเข้ากันกับธีมเกม ก็อาจพูดได้ว่าเพลงประกอบของ Splatoon 2 ให้อารมณ์ความวุ่นวายสุดป่วน ตามแบบฉบับที่เกมพยายามจะนำเสนอได้อย่างดี แต่ถ้ามองในมุมของความสมบูรณ์จริงๆ เพลงประกอบของ Splatoon 2 จะค่อนไปทางธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ เป็นการนำเพลงมาวนลูปไปเรื่อยๆ แถมการใส่เสียงตัวละครเข้ามาระหว่างเพลงก็บอกเลยว่าไม่เวิร์คจริงๆ (ผมแอบคิดว่าทำเพลงแนว Jet Set Radio ก็ไม่เลวนะ)

6. Bubble Bobble

อาจจะเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่แฟร์เท่าไหร่เพราะในช่วงที่ Bubble Bobble ออกวางจำหน่าย วิดีโอเกมยังอยู่ในยุค 8 Bit ที่ยังมีข้อจำกัดในด้านเทคนิคมากมาย แต่ถึงกระนั้นหากนำเกมในรุ่นเดียวกันมาเทียบดูเช่น Super Mario Bros. 3, The Legend of Zelda หรือแม้กระทั่ง Teenage Mutant Ninja Turtles ก็ล้วนมีเพลงประกอบที่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ทำให้ข้ออ้างในด้านข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ในสมัยนั้นฟังไม่ขึ้นเลย

7. Excitebots: Trick Racing

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อของ Burnout Paradise ว่าเกมแข่งรถที่ดีต้องมีเพลงประกอบแจ่มๆ ด้วยถึงจะสมบูรณ์และ Excitebots: Trick Racing เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่บ่งบอกความสำคัญของเพลงประกอบได้อย่างดี เพราะโดยภาพรวมของ Excitebots: Trick Racing ทั้งในด้านเกมเพลย์, การออกแบบฉาก, รูปแบบยานพาหนะ และระบบ Online ล้วนแล้วมีคุณภาพเยี่ยมทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับเพลงประกอบที่ดูจืดๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นให้เราได้จดจำอย่างน่าเสียดาย

8. Sonic R

ถ้าเพื่อนๆ คิดว่าเกมการเล่นของ Sonic R มันไม่ได้ดีขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิดอะไรหรอกครับ แต่สำหรับในช่วงเวลานั้นที่เป็นยุคเริ่มแรกของเกม 3D Sonic R ถือเป็นเกมที่พอไปวัดไปวากับเขาได้อยู่บ้าง แต่ในด้านของเพลงประกอบขอบอกเลยว่าห่วยบรม คือถ้านำเพลงจากเกมมานั่งฟังเฉยๆ มันก็ยังพอถูไถแก้เบื่อได้บ้าง แต่ถ้าเราต้องทนฟังเพลงนี้พร้อมนั่งเล่นเกมไปด้วย คงจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญไม่น้อยเพราะเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่ แทบไม่มีความเกี่ยวข้องหรือเข้ากับเกมเลยแม้แต่นิด

9. New Super Mario Bros. U

แม้ว่าซีรี่ส์ Mario จะเต็มไปด้วยเพลงประกอบที่ไพเราะติดหู แต่ในช่วงที่ผ่านมาความต่างในด้านคุณภาพของเพลงประกอบระหว่างเกมภาค 3D กับ 2D ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นอย่างเช่น New Super Mario Bros. U ที่แม้จะมีเกมการเล่นแบบ Platformer อันยอดเยี่ยม แต่เพลงประกอบของมันกลับเป็นการนำเพลงเก่าในซีรี่ส์ New Super Mario Bros. มารีไซเคิลใหม่อีกรอบ แถมยังมาพร้อมกิมมิคที่น่าจะทำให้ผู้เล่นหลายคนรู้สึกขัดหูกันบ้างกับเสียง “วา วา” ที่จะปนมากับเพลงประกอบเสมอ คือถ้าพวกเขาจะตั้งใจทำเพลงดีๆ ให้กับซีรี่ส์ New Super Mario Bros. มันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความพยายามหรอกจริงไหม

10. Yoshi’s Crafted World

หนึ่งในสาเหตุที่เพลงประกอบของ Yoshi’s Crafted World มีความเรียบง่ายไม่มีอะไรเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะแนวทางของผู้พัฒนา ที่มีเจตนาจะทำเกมนี้ให้ดูเป็นมิตรกับผู้เล่นทุกวัย แต่พอเอาเข้าจริงเพลงใน Yoshi’s Crafted World กลับให้อารมณ์ที่จืดชืดต่างจาก Yoshi’s Woolly World ที่มีเพลงประกอบสมบูรณ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นแล้ว Yoshi’s Crafted World ก็ยังพอมีเพลงเพราะๆ ให้ฟังอยู่บ้าง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมของ Nintendo ทั้งทีพวกเขาต้องทำได้ดีกว่านี้สิ

การจะทำเกมออกมาให้สมบูรณ์ที่สุด เพลงประกอบถือเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้ เพราะต่อให้แก่นคือเกมการเล่นแต่เพลงประกอบ จะมาเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความน่าจดจำให้กับเกมนั้นๆ มากขึ้นอย่างเช่น Cyberpunk 2077 ที่ถ้ามองข้ามเรื่องบัคต่างๆ ไป เพลงประกอบของเกมนี้จัดว่าอยู่ในระดับตัวท็อปของปีเลยทีเดียว หรือจะเป็น Final Fantasy VII Remake ยอดเกมแห่งปี 2020 ที่มาพร้อมเพลงประกอบครบรสทุกอารมณ์ แล้วเพื่อนๆ ล่ะมีความคิดเห็นอย่างไรกับความสำคัญของเพลงประกอบภายในเกม สามารถมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันได้เลยนะ

ที่มา
gamerant
Back to top button