[รีวิว] Gamebar Guild พาชมร้านนั่งชิลสไตล์ญี่ปุ่นสำหรับเกมเมอร์ ใจกลางกรุงเทพฯ

คงมีเกมเมอร์วัยทำงานหรือวัยมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยเลยครับที่ต้องเจอกับสถานการณ์ความตึงเครียดในแต่ละวันจนบางทีก็อดไม่ได้ที่อยากจะปล่อยใจชิลๆ ส่งท้ายวันที่เหน็ดเหนื่อย แต่การที่จะเฟ้นหาร้านที่ตอบโจทย์เรื่องไลฟ์สไตล์เกมเมอร์ก็ค่อนข้างยากเหลือเกิน กระทั่งวันนี้พวกเราได้มาพบกับ Gamebar Guild ที่หมายใหม่สำหรับนักเล่นเกมใจกลางเมืองเพราะเดินทางง่ายแสนง่ายอยู่ใกล้บีทีเอสก็มาถึงสบายๆ

นั่งสบายบรรยากาศสุดโฮมมี่

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาถึงก็สัมผัสได้ถึงความเป็นร้านเกมที่ผสมกับกลิ่นไอของบรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตร ส่วนนี้ขอชมเลยว่าพนักงานให้บริการเป็นอย่างดีจนเหมือนบ้านเพราะบ่อยครั้งเราจะสังเกตเห็นว่าลูกค้ายังสามารถชวนทีมงานมานั่งเล่นเกมเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ และด้วยความที่เป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่น ย่อมแฝงรายละเอียดที่น่าสนใจเข้ามานั่นคือการให้ความสำคัญในการติดป้ายชื่อพนักงานเพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเรียกหรือพูดคุยได้อย่างสนิทใจไม่เคอะเขิน อีกทั้งยังเป็นเครดิตของทางร้านเพื่อความน่าเชื่อถือได้ในเวลาเดียวกัน

ความกว้างของร้านเมื่อสังเกตด้วยตาคิดว่าหน้ากว้างราว 1 ห้อง ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปเพราะชั้นล่างจะมีเก้าอี้บาร์ให้เราได้นั่งเล่นเกมที่จัดสเตชันเอาไว้บนโต๊ะบาร์อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเกมเก่าหรือใหม่ก็มีพร้อมให้เราลุกเดินเปลี่ยนเครื่องได้เอง แต่ถ้าใครไม่สะดวกเปิดเครื่องก็สอบถามกับพนักงานได้เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้นทุกคนให้บริการด้วยใจเต็มเปี่ยม จึงไม่ใช่ภาพแปลกตาถ้าจะมีลูกค้าประจำที่พนักงานกับลูกค้าเองที่คุยเล่นสนุกสนานแบบคนรู้จัก ทำกิจกรรมกันชั้นล่างเช่นเล่นเกมหรือร้องคาราโอเกะด้วยกัน คึกคักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำไปจนถึงดึก

Game On! กองทัพต้องเดินด้วยท้อง

รูปแบบการให้บริการของร้านคือลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบริการในการเล่นเกมเริ่มต้นชั่วโมงแรก 300 บาท และ 100 บาทสำหรับ 30 นาทีถัดไป (หรือ 200 บาทในชั่วโมงที่สองขึ้นไป) ซึ่งจะมาพร้อมกับเครื่องดื่ม All you can drink ในส่วนของซอฟต์ดริงก์หรือน้ำอัดลม – น้ำผลไม้ และเมนูเองก็หลากหลาย ทั้งน้ำส้ม, น้ำแอปเปิ้ล หรือใครต้องการความสดชื่นตาตั้งขึ้นมาหน่อย ลองให้ดื่มบลูฮาวายโซดาและลิ้นจี่โซดาก็ไม่ขัด และยังมีตัวเลือกสุดคลาสสิกเป็นคาลพิสทั้งร้อนและเย็นเลยครับ นอกจากนั้นแล้วก็จะมีอาหารทานเล่นเสิร์ฟให้สามารถสั่งแยกได้ เช่นไก่ทอดคาระอาเกะ

คลังแสงเอาใจทั้งคอเรโทร และเกมเมอร์พันธุ์ใหม่

เมื่อพร้อมแล้วเราก็สามารถนั่งเล่นเกมได้เลย และไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการ ‘งง’ กันเพราะพนักงานจะคอยแนะนำเราไปนั่งที่กันได้แบบทันใจ ซึ่งส่วนมากแล้วก็นั่งกันด้านล่างเลยนั่นแหละ แต่ถ้าใครอยากใช้สมาธิกันสักหน่อยก็เชิญไปยังชั้นสองที่จะโอ่โถงกว่าด้วยโต๊ะขนาดใหญ่และมีโซนบอร์ดเกม กับ VR ด้วย เครื่องเล่นที่จะพร้อมให้ใช้งานกันตลอดคือ PlayStation 5 และเครื่องเล่นรุ่นเก่าตั้งแต่ 1 – 4 ขณะที่ฝั่ง Nintendo จะเป็น Super Famicom (SNES), Nintendo 64, Wii, Wii U และ Nintendo Switch โดยเกมจะอยู่หน้าร้านใส่กล่องให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันก็ยังมีแผ่น GameCube ที่สามารถต่อเล่นผ่าน Wii ได้ แต่ด้วยขนาดที่เล็กกว่าทางร้านก็จะจัดใส่แฟ้มเล่มที่วางไว้บริเวณทางขึ้นบันไดด้านหลังร้าน

ตัวเกมที่มีให้บริการในส่วนของเกมเก่าจะเห็นว่าเป็นเกมโซนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคทางกำแพงภาษามากนักเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าไอ้คนรุ่นเราๆ หรือถ้าเกิดอายุ 30 ปีขึ้นไปนั้นย่อมเข้าสู่สถานะเด็กหนวดที่ผ่านการเล่นเกมแบบ ‘No clue’ กันมาเป็นที่เรียบร้อยครับ ว่าง่ายๆ ก็คือภูมิคุ้มกันและชั่วโมงบินสูงนั่นแหละ แต่ถ้าเกิดเป็นเกมใหม่บนเครื่องเล่น Nintendo Switch หรือ PlayStation 5 นั้น จะเป็นเกมที่มาพร้อมภาษาอังกฤษเรียบร้อย และถือว่าอัปเดตไวเหมือนกัน มี Street Fighter 6 และ Tekken 8 ที่เพิ่งวางจำหน่ายหมาดๆ มาเสิร์ฟความมันส์ให้เราได้แลกหมัดกับเพื่อนใหม่ที่เจอในร้าน หรือใครที่อาจจะเป็นสายแคชวล สามารถเล่น Super Mario Bros. Wonder ที่มีให้บริการได้เหมือนกัน และเรื่องจำนวนจอยเกมไม่ต้องพูดถึง ขอแซวนิดๆ ว่าแขวนให้เลือกใช้กันให้พรึ่บ พร้อมลุยกับทุกความดุเดือด

ไฮไลต์เด็ดไม่ใช่การที่เราได้นั่งเล่นเกมใหม่ๆ กันที่นี่ก่อนใคร แต่ผมมองว่าเป็นการที่เรามานั่งชิลรำลึกความหลังเพราะที่ได้มีโอกาสคุยกับพนักงานเอง ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามามักจะเป็นเหล่าซาลารีมังหรือมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นที่เข้ามาเล่นเกมเก่าเช่น Bomberman บน Super Famicom หรือไม่นานมานี้เองผู้เขียนก็ยังได้มีโอกาสปะทะฝีมือ Super Smash Bros. Melee กับลูกค้าท่านอื่น พร้อมกับเครื่องดื่มที่สดชื่นๆ ไปด้วย โอ้โห ขอบอกเลยว่าสุขใดไหนจะปาน เพราะเกมเหล่านี้มันเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของความทรงจำที่กระโดดออกมาอีกครั้งจากก้นบึ้ง กลายเป็นภาพตรงหน้าของเราอีกครั้ง

แน่นอนว่าด้วยความที่ชั้นล่างรวมกิจกรรมคาราโอเกะเทคโนโลยี Joysound เอาไว้ ดังนั้นจึงเหมาะกับการเล่นเกมแนวปาร์ตี้มากกว่า แต่เกมที่ผู้เล่นต้องการใช้สมาธิอย่าง Dark Souls รวมไปถึงใครก็ตามที่ต้องการใช้พื้นที่ในการเล่นเกม VR สามารถเดินขึ้นมาชั้นสองอย่างที่บอกข้างต้น โดยจะมีเกมให้บริการเหมือนกัน ถ้าเกิดหาไม่เจอก็วิ่งลงมาสอบถามหรือให้พนักงานนำขึ้นมาบริการได้ด้วย แต่ที่พร้อมเล่นก็จะเป็นเกม Nintendo 64 และ PlayStation 1 ที่วางอยู่ประจำอยู่แล้วครับ

ท้ายที่สุด เมื่อชำระเงินออกมาความประทับใจที่ได้รับก็คงไม่พ้นความอิ่มเอมใจที่เราได้เห็นเกมเมอร์ในคอมมิวนิตี้ได้มารวมตัวกันใช้เวลาดีๆ ด้วยกัน บางคนก็อาจจะเป็นเกมเมอร์มือใหม่ที่ได้ลองมาเยี่ยมเยียนครั้งแรก แต่สต๊าฟซังทุกคนก็ให้ความช่วยเหลือ แนะนำเกมกันเป็นอย่างดีแม้จะมีบ้างที่เกมหลายเกมอาจจะเก่ากว่าอายุพวกเขาเสียอีก อย่างไรเสียก็ยังมีหลายคนที่ตั้งใจมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับเราได้นั่งชิลแบบไม่เหงา

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่ต้องการย้อนวันเวลาเก่าๆ หรือพบปะกับเพื่อนเกมเมอร์ใหม่ๆ ทั้งไทยและเทศ ที่สำคัญค่าบริการยังถูกมากๆ เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับ และบางทีก็ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าในวันเหนื่อยล้าเพียงแค่เราลองปล่อยใจมานั่งในร้านเกม สนุกกับมนต์เสน่ห์ของเกมสมัยก่อน ก็ช่วยให้เราได้ฮีลใจเหมือนรับบัฟกันแล้ว และท้ายที่สุด ThisIsGame Thailand จะมีอะไรดีๆ มาแบ่งปันกันอีก ก็ขอเชิญติดตามกันที่นี่เช่นเคยครับผม

การเดินทางไปยัง Gamebar Guild

วิธีเดินทางมาถึง Gamebar Guild นั้นสะดวกไม่น้อยเพราะเราสามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มายังสถานีพร้อมพงษ์ จากนั้นมองหาประตูทางออก 4 เดินต่อไปยังซอยสุขุมวิท 26 (หรือซอยอารีย์) ซึ่งเป็นสามแยกพอดี ถือว่าสังเกตค่อนข้างง่ายเลยครับ เดินตรงเข้ามาประมาณ 250 เมตร จะพบกับตรอกที่อยู่ตรงข้ามกับอาคารขนาดใหญ่และร้านเบเกอรี Bake Ministry ให้เราเลี้ยวขวาอีกครั้ง ไม่นานก็จะถึงหน้าร้านที่มีป้ายแสดงอยู่

ที่อยู่

Gamebar Guild
10/10 สุขุมวิท ซอย 26
แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

Google Maps: https://maps.app.goo.gl/URff6V9iwvkmPdve9
Facebook | Instagram | X | LINE
Tel: +6620778721

เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 12:00 น. – 03:00 น.
หมายเหตุ: ลูกค้าอายุต่ำกว่า 20 ปีไม่สามารถใช้บริการหลัง 22:00 น. ได้