[รีวิว] Survivor – Castaway Island Survival
เกม Survival Game Show เอาชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายเพื่อรับรางวัลใหญ่กลับบ้าน
Survivor – Castaway Island Survival เป็นเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรายการทีวีประเภท Survival Game Show ที่ผู้เล่นจะต้องเข้าแข่งขันกัน และเอาชีวิตรอดให้เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายเพื่อที่จะรับรางวัลใหญ่กลับบ้านไป
และในโอกาสที่ผู้เขียนได้เข้าไปลองเล่นเกมนี้มาแล้ว และผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอรีวิวเกมที่น่าสนใจให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และถ้าหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยหลังจากที่รีวิวเผยแพร่ไปแล้วก็เป็นได้ครับ
กราฟิกที่เรียบง่าย สดใส แต่น่าจะไปให้ไกลกว่านี้อีกนิด
สำหรับกราฟิกภายในเกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้เรียบง่าย และสดใส แต่ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่น่าจะทำออกมาได้ดีกว่านี้อีกสักนิด แต่หากมองว่าเกมนี้เป็นเกมที่ต้องเน้นกราฟิกอะไรมากก็สามารถมองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างสบาย ๆ แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกติดขัดหน่อยก็คือรายละเอียดหน้าตาของตัวละคร รวมไปถึงรูปร่างที่น่าจะทำออกมาให้ดีกว่านี้เสียหน่อย เพราะบางคนดูแล้วก็ไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อย่างไรก็ตามบรรยากาศโดยรวมภายในเกมก็ถือว่าทำออกมาได้ดี สมกลับเป็นเกาะร้าง แม้ว่าโมเดลของสิ่งแวดล้อมจะซ้ำกันไปซ้ำกันมาอยู่เรื่อย ๆ ก็ตาม
เกมเพลย์รายการโชว์เอาชีวิตรอด
ในส่วนของเกมนี้ก็จะเป็นเกมสไตล์ Survival Game Show ที่ผู้เขียนมองว่าใช้เวลาในการทำความเข้าใจไม่ยากนัก ทำให้การเล่นเกมนี้ค่อนข้างสนุกในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยเกมหลักจะแบ่งออกเป็นทั้งหมดสองช่วงด้วยกันได้แก่ช่วงของการเล่นมินิเกมแข่งขันกันระหว่างทีม (หรือการแข่งขันแบบเดี่ยวในช่วงครึ่งหลัง) และอีกส่วนหนึ่งก็คือเกมการเอาชีวิตรอดด้วยการตามหาทรัพยากรมาใช้สำหรับทีม
โดยเกมส่วนแรกที่เป็นการแข่งขันมินิเกมก็ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ มีมินิเกมให้เล่นอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้การเล่นเกมในรอบแรก ๆ นั้นน่าตื่นเต้นไม่น้อย อย่างไรก็ตามเมื่อเราเล่นไปสัก 3-4 รอบ (ซีซั่น) เราจะรู้สึกว่ามินิเกมนั้นซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เริ่มเบื่อหน่ายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้เขียนมองว่าหากเกมนี้มีมินิเกมเยอะกว่านี้น่าจะทำให้เกมนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันเกมนี้ในช่วงของการตามหาทรัพยากรเป็นอะไรที่ค่อนข้างแอบหัวร้อนอยู่ไม่น้อย โดยช่วงนี้ผู้เล่นจะได้ใช้เวลาอยู่สักประมาณหนึ่งในการหาทรัพยากรสำคัญมาใช้สำหรับทีม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, น้ำ หรือไม้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะต้องใช้พลังงานในการเก็บทรัพยากร ทำให้ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องจัดสรรในเรื่องของพลังงานให้ดี มิฉะนั้นหากพลังงานหมดก็มีสิทธิ์ที่จะถูกคัดออกจากเกมได้ อย่างไรก็ตามจุดแรกที่ทำให้ผู้เขียนแอบเกาหัวเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็คือการเก็บทรัพยากรที่เราจะต้องทำคล้าย ๆ กับมินิเกมสั้น ๆ (มาก ๆ) เพื่อเก็บทรัพยากร เช่นการสแปมปุ่มเพื่อเขย่าต้นไม้ ตักน้ำ หรือแม้กระทั่งคุ้ยกิ่งไม้ ทำให้การเล่นเกม 1 รอบนั้นเราจะต้องทำแบบนี้ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 50 รอบ (หรือมากกว่านั้นหากเราเข้ารอบลึก ๆ ได้)
จุดหัวร้อนที่ 2 คือแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อนในทีมทุกคนจะขยันตามหาทรัพยากร เพราะจากที่ผู้เขียนได้ลองเล่นมาหลายรอบก็จะพบว่าหลายต่อหลายครั้งที่เพื่อนร่วมทีมของเราค่อนข้างขี้เกียจ ไม่ยอมออกหาทรัพยากรใด ๆ หรือหามาน้อยมาก ๆ (บางคนหาไม้มาอันเดียว, บางคนหาอาหารมา 2 อัน เป็นต้น) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จนสุดท้ายเราก็ต้องเสียพลังงานไปกับการที่เราไม่มีอาหาร หรือน้ำเพียงพอ รวมไปถึงเสียพลังงานจากความหนาวเพราะมีไม้ไม่เพียงพอ ซึ่งหากเราจะเก็บทรัพยากรเองทั้งหมดก็ยากมากเพราะพลังงานก็มีจำกัด
แต่ที่ทำให้ประเด็นนี้หัวร้อนมากขึ้นก็คือ กิจกรรมช่วงการแข่งขันมินิเกมในแต่ละวันนั้นผู้เล่นจะเหมือนถูกบังคับให้เป็นตัวละครหลักในการเล่นเกมนี้ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นเหมือนโดนบังคับเสียพลังงานทุกวัน เหมือนโดนเอาเปรียบยังไงก็ไม่รู้ ทำให้ภาพรวมในเกมเพลย์ของเกมนี้อยู่ในจุดที่น่าสนใจในเบื้องต้น แต่คุณค่าการเล่นซ้ำนั้นมีไม่มากนัก
สุดท้ายคือสิ่งที่ทำเอากุมหัวก็คือเมื่อผู้เล่นเล่นจนจบซีซั่นไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเป็นการปลดล็อคซีซั่นที่ 2 และ 3 ต่อไปตามลำดับ ซึ่งแต่ละซีซั่นก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้เขียนคาดหวังว่าจะมีมินิเกมที่แตกต่างไปจากเดิม แผนที่ที่เปลี่ยนไป หรือบรรยากาศ รวมไปถึงตัวละครที่เข้าร่วมใหม่ ๆ ผลปรากฏก็คือ… เหมือนเดิมเป๊ะ ๆ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างมากนัก (แต่ AI ฝั่งตรงข้ามอาจจะฉลาดขึ้น เก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ จากที่สังเกต แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก) ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เขียนเอ๊ะแบบสุด ๆ
ภาษาคืออีกหนึ่งกำแพงในการเล่นเกมนี้
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญและมองข้ามไม่ได้เลยซึ่งจะเป็นปัญหาของผู้เล่นที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษทันทีนั่นก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ภายในทีม
โดยการสร้างความสัมพันธ์นั้นจะต้องเกิดจากการพูดคุยภายในแต่ละวัน ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีอีเวนต์ให้เราได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมอยู่พอสมควร การตอบคำถามของเราก็จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเราและเพื่อนร่วมทีมนั่นแปลว่าหากเราไม่ค่อยชำนาญด้านภาษาอังกฤษก็จะทำให้การเล่นเกมนี้ยากขึ้นอีกขั้นหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สรุปรีวิว
โดยรวมของเกมนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่เล่นได้สนุกในขั้นต้น แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันซ้ำไปซ้ำมาจำเจอยู่พอสมควร ทำให้เกมนี้มีคุณค่าในการเล่นซ้ำของเกมน้อยมาก ๆ แถมเกมนี้ยังไม่รองรับการเล่นแบบออนไลน์ หรือ Local Multiplayer อีกด้วย (รองรับการเล่น Local Multiplayer แค่โหมดมินิเกมเล็ก ๆ เท่านั้น) ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก ๆ หากทีมพัฒนาเกมเพิ่มมินิเกมให้เยอะกว่านี้ ปรับ AI ให้สมดุลกว่านี้ รวมไปถึงมีแผนที่ที่แตกต่างจากเดิมให้ได้เล่นบ้างน่าจะดีกว่านี้
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 6.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
– เกมเพลย์ Survival Game Show ที่มีความสนุกในระดับหนึ่ง
ข้อสังเกต
– คุณค่าในการเล่นซ้ำ ด้วยมินิเกมที่มีน้อย และเกมเพลย์ที่ซ้ำไปซ้ำมา
– แผนที่ที่หมุนไปมาจนน่าปวดหัว
– AI ทำออกมาเป็นภาระพอสมควร
– ระบบซีซั่นที่ไม่ได้สร้างความแตกต่างใด ๆ
สุดท้ายนี้ ทีมงาน This is Game Thailand ต้องขอขอบคุณทาง Ripples ที่เอื้อเฟื้อเกมดีๆ เกมมันส์ๆ มาให้พวกเราได้รีวิวกันในครั้งนี้ด้วยนะครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…