Manor Lords เกมสร้างเมืองยุคกลางขายดีไม่พัก!

Manor Lords เป็นเกมพัฒนาโดยคนคนเดียวที่นำเสนอมุมมองแปลกใหม่เกี่ยวกับความสนุกของการบริหารจัดการเมืองในยุคกลาง และหลังจากกวาดยอด Wishlist ไปแบบถล่มทลาย เกมนี้ก็ทำยอดขายถล่มทลายเช่นกันด้วยตัวเลขทะลุหนึ่งล้านชุดภายในไม่กี่วันนับจากวางขาย แม้ทีมผู้พัฒนาจะพยายามออกมาบอกว่าเกมนี้ไม่ใช่คู่แข่งของ Total War แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึง รวมถึงความเนี้ยบของเกม ก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับเหล่าเกมเมอร์ได้จนทำให้ตอนนี้เกมมีรีวิว ‘แง่บวกอย่างสูง’ ราว 25,000 รีวิว

ทางด้าน PCG มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณ Tim Bender ตำแหน่ง CEO ของ Hooded Horse ผู้จัดจำหน่ายเกมเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ Grzegorz Styczeń นักพัฒนาเดี่ยวจาก Slavic Magic เราอยากรู้ว่าพวกเขาเอาชนะการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและความต้องการของเหล่าผู้เล่นที่ต้องการสิ่งต่างๆ จากเกมที่ประสบความสำเร็จระดับนี้ได้อย่างไร คุณ Bender กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในสองสามสัปดาห์แรกนี้คือต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ “มีผู้เล่นจำนวนมากมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับตัวเกมไว้”

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีแผนในการทำตามคำแนะนำของเหล่าแฟนๆ ทุกอย่าง คุณ Bender บอกว่าทีมงานจะมีการออกแพตช์อัพเดตเร็วๆ นี้ ที่มีเนื้อหาอ้างอิงจากสิ่งที่ผู้เล่นพูดถึงกัน “วิธีนี้เรียกว่าเป็นการพัฒนาเกมโดยให้ความสำคัญกับชุมชนผู้เล่นอย่างมาก นี่แหละคือคุณค่าที่แท้จริงของการวางขายเกมแบบ Early Access เพื่อจะได้รับเสียงตอบรับจากมหาชน และลงไปสนทนากับผู้เล่นเพื่อนำความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นแนวทางในการพัฒนาเกม”

ฟังดูเป็นหลักการที่ดี แต่เมื่อทาง Hooded Horse ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ Manor Lords ตั้งแต่ช่วงก่อนที่ตัวเกมจะประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีบางอย่างที่ต้องถูกนำมาพิจารณาใหม่

คุณ Bender บอกว่า “เราไม่ได้คาดการณ์ถึงเรื่องนี้ไว้เลย แม้ว่าจะมีผู้เล่นแค่ครึ่งเดียวของตอนนี้ แต่สิ่งที่เรามุ่งหมายก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าอย่างไรก็จะมีผู้เล่นออกมาให้ Feedback และตั้งตารอสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเกม”

“บอกตรงๆ ก็คือ สิ่งที่เราเจอตอนนี้มันเหนือกว่าความหวังนะครับ ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าตอนเกมวางขายจะมีผู้เล่นพร้อมกันสูงถึง 173,000 คน ซึ่งเยอะกว่าเกม Total War Warhammer 3 และ Civilization 6 ตอนพวกเขาเปิดตัวเสียอีก นี่มันเกินกว่าที่เราจะหวังเอาไว้ได้เลย ณ จุดนี้ มันเป็นจำนวนคนเล่นที่เรียกได้ว่าบ้าไปแล้วจริงๆ”

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้จัดจำหน่ายอยากเข้ามาข้องเกี่ยวมากขึ้นไม่มากก็น้อย ทีมพัฒนาเกมประกอบด้วยคนแค่คนเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่งตัวเกมได้ปล่อยออกมาให้เล่นกันแบบนี้แล้ว และเมื่อ Feedback จากผู้เล่นเริ่มหลั่งไหลเข้ามา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?

คุณ Bender อธิบายว่า “เบื้องหลังมีทีมงานให้ความสนับสนุนกันเพียบ โดยเฉพาะทีมที่คอยติดตามคอมเมนต์ต่างๆ เรามีทีม QA วางแผนกันอยู่แล้ว รวมถึงทีม Community ที่คอยจับกระแสทิศทางความรู้สึกของเหล่าผู้เล่น โดยเราจะสรุปข้อมูลทั้งหมดส่งให้ทางคุณ Grzegorz”

“แต่ในที่สุดแล้ว Greg จะเป็นคนตัดสินใจและเป็นหัวเรือใหญ่ในการพัฒนาเกม เขามีตำแหน่งเป็นนักพัฒนา เขาก็จะเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอะไรบ้างและเห็นชอบกับอะไร และเขาก็จะกลับไปถามคำถามเพิ่มเติมกับเหล่า Community อีกที”

“เขารวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับเข้ามาที่ตัวเขาเอง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับข้อมูลเหล่านั้น และเมื่อไหร่ถึงจะคุยกับชุมชนผู้เล่น”

คุณ Bender กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายรับรู้ถึงความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หากฟังเสียงผู้เล่นมากเกินไป และในขณะเดียวกันก็ทราบว่า “คุณจะทำให้ผู้เล่นบางส่วนโกรธแน่ๆ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปก็ตาม” แต่เราจะไม่ยอมให้สิ่งนั้น “มาหยุดการพัฒนาเกมหรือทำให้เรากลัวจะลงมือทำบางสิ่ง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องทำให้เกมเดินหน้าต่อไป”

ทีมงานของ Manor Lords ระมัดระวังเรื่องการให้สัญญาเกินพอดีกับผู้เล่น โดยคุณ Styczeń เลือกที่จะไม่ทำ roadmap แบบดั้งเดิม และปฏิเสธการให้วันเวลาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามาในอนาคต แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีแผนใดๆ เลย สิ่งที่น่าสนใจก็คือหนึ่งในเป้าหมายระยะยาวสุดหินสำหรับตัวเกมคือการใส่ประเด็นความโหดร้ายแบบเลือดสาดกระเซ็นที่เคยมีอยู่จริงในยุคกลางเข้ามาด้วย

คุณ Styczeń เคยพูดกับพวกเราว่า “ปราสาท การปิดล้อม และเครื่องจักรล้อมเมืองถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในยุคนั้น และผมมีแผนใหญ่ในการนำเสนอสิ่งเหล่านี้ครับ ผมเคยนำเสนอไปแล้วว่าระบบบางส่วนจะทำงานอย่างไร และมีบางส่วนอยู่ในเกมเพื่อทดสอบที่จุดต่างๆ ในกระบวนการพัฒนา ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะมีอะไรบ้างที่ให้เล่นได้ตอนเกมออกอย่างเป็นทางการ และจะมีอะไรบ้างที่ต้องค่อยๆ เพิ่มเข้ามาทีหลังตลอดช่วง Early Access แทน”