[รีวิว] Avatar: The Last Airbender – Quest for Balance
เกมแอ็กชั่น RPG จากคอมิคดังที่ทำออกมาได้ดีสมราคา
Avatar: The Last Airbender: Quest for Balance เป็นเกม Action Adventure ที่ผู้เล่นจะได้ไขปริศนาที่เกี่ยวโยงกับธาตุทั้งสี่ (ดิน ลม ไฟ และน้ำ) รวมไปถึงตัวเกมจะมีฟีเจอร์อีกมากมาย เช่นภารกิจเสริม การอัปเกรดตัวละคร และการโต้ตอบกับตัวละครที่โด่งดังจากแฟรนไชส์ดังกล่าว โดยตัวละคร 4 ตัวจากทั้งหมด 9 ตัวที่เราจะเลือกเล่นได้
และในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปผจญภัยกับ Aang และผองเพื่อนมาแล้ว และผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอรีวิวเกมที่น่าสนใจให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 ระหว่างวันที่ 9 – 12 ตุลาคม 2566 หากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้
กราฟิกสดใสในฐานะเกมทั่วไป
สำหรับกราฟิกของเกม Avatar: The Last Airbender – Quest for Balance สำหรับผู้เขียนมองว่าเป็นกราฟิกที่สดใสในฐานะเกมทั่วไป สภาพแวดล้อมโดยรวมไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง แม้ว่าอาจจะไม่ได้สวยงามเท่ากับเกมระดับ AAA แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่จนเกินไป อย่างไรก็ตามหากมองให้จริงจังอีกนิด เกมนี้ถือว่ามีกราฟิกที่แอบลวกอยู่บ้าง รวมไปถึงในบางฉากเราจะได้เห็นจังหวะที่เกมโหลดกราฟิกไม่ทันทั้ง ๆ ที่เล่นบน PS5 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลก และไม่น่าเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเราก็คงต้องรอแพทช์มาแก้ไขต่อไป
ขอแอบชมเพิ่มเติมในส่วนของคัทซีนภายในเกมที่เป็นภาพกราฟิก 2 มิตินั้นสวยงามน่าประทับใจมาก ๆ โดยภาพนั้นทำออกมาคล้าย ๆ ภาพวาดสไตล์จีนนิด ๆ ผสมผสานกับสีสันที่สดใส และดีไซน์ตัวละครที่น่ารัก ซึ่งผลที่ออกมาก็กลายเป็นภาพที่สวยงามประทับใจเป็นอย่างมาก
เกมเพลย์ที่เข้าใจง่าย
สำหรับเกมเพลย์หลัก ๆ ภายในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ก็คือการไขปริศนา การต่อสู้ และมินิเกม ซึ่งโดยรวมแล้วก็ถือว่าทำออกมาได้โอเค แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ซึ่งหากใครคาดหวังให้การต่อสู้แอ็กชั่นมันส์ ๆ เท่ากับเกม Action Adventure หรือปริศนาที่คิดจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาก็คงจะต้องผิดหวังไปบ้าง แต่ถ้ามองในแง่มุมของ “เกมสำหรับเด็ก” ก็ถือว่ายอมรับได้เช่นกัน
การไขปริศนานั้นผู้เล่นจะต้องใช้พลังของ Aang หรือตัวละครอื่น ๆ ภายในทีมเพื่อกำจัดอุปสรรคที่ขวางทางอยู่ เช่นก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ ปืนไฟที่พ่นไฟขวางทางผู้เล่น ไปจนถึงประตูบานยักษ์ที่เราจะต้องให้ตัวละครไปยืนอยู่บนสวิตช์ขนาดใหญ่บนพื้นให้ครบตามจำนวนถึงจะผ่านไปได้ โดยเราสามารถสลับตัวละครเพื่อใช้ในการไขปริศนาได้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้เรายังสามารถสั่งให้เพื่อนร่วมทีมยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งตามเราก็ได้เช่นกัน ซึ่งโดยรวมแล้วผู้เขียนมองว่าปริศนาไม่ได้ยากจนเกินไป ใช้เวลาไม่นานก็พอที่จะผ่านไปได้ แต่สำหรับเด็กอาจจะต้องใช้เวลามากในระดับหนึ่งครับ เพราะว่าตัวเกมไม่ได้มีคำใบ้ใด ๆ ทำให้ผู้เล่นจะต้องคลำทางเองในระดับหนึ่ง
ในขณะเดียวกันเกมเพลย์ต่อสู้ก็ทำออกมาได้ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยนอกเหนือจากการโจมตีปกติแล้ว ตัวละครแต่ละตัวก็จะมีสกิลในการต่อสู้ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การต่อสู้นั้นถือว่าสนุกได้ใจไม่น้อย อย่างไรก็ตามสิ่งที่อาจจะทำให้เกาหัวหน่อยก็คือศัตรูลูกกระจ๊อกที่มีการย้อมสี ย้อมโมเดลอยู่หลายครั้งทำให้แอบน่าเบื่อไปนิด แต่ถ้าไม่คิดมากก็สามารถมองข้ามไปได้ และเกมนี้ยังมีการต่อสู้กับบอสที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะเกมนี้ไม่ได้มีแต่บอสให้เราวิ่งเข้าไปโจมตีธรรมดา ๆ ก็ชนะได้ แต่บอสแต่ละตัวจะมีแพทเทิร์นการโจมตีที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราต้องศึกษาแพทเทิร์นเหล่านั้นให้ดี และหาจังหวะที่เหมาะสมเพื่อโจมตีบอสนั่นเอง
ในส่วนของมินิเกมนั้นแอบทำหัวผู้เขียนหัวร้อนไม่น้อย (ฮา…) โดยเป้าหมายของมินิเกมก็คือวิ่งเก็บเหรียญ ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 เลน ให้เราเลือกวิ่งซ้าย-กลาง-ขวาไปเรื่อย ๆ ซึ่งแน่นอนว่ารูปแบบนี้ก็คล้ายกับมินิเกมสไตล์ Temple Run / Subway Surfer นั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้มินิเกมน่าสนใจมากขึ้นก็คือสกิลของพาหนะแต่ละตัวที่เรา (ถูกบังคับ) ใช้งานนั้นจะแตกต่างกันออกไป เพนสัตว์ที่คล้ายกับเพนกวิ้นผสมแมวน้ำ จะมีความสามารถในการเร่งความเร็ว หรือสัตว์ที่คล้ายกับปลายักษ์ ก็จะสามารถทำให้เรามุดน้ำได้ ซึ่งสกิลเหล่านี้จำเป็นอย่างมากในการเล่นมินิเกมให้จบ
สรุปรีวิว
โดยรวมแล้วหากใครคาดหวังให้เกม Avatar: The Last Airbender – Quest for Balance เป็นเกมแอ็กชั่นมันส์จัด ๆ ปล่อยเอฟเฟกต์สกิลระเบิดจอตู้มตามก็คงจะผิดหวังแน่นอน แต่ถ้าจะให้แฟร์ผู้เขียนอยากให้มองเกมนี้ในฐานะเกมสำหรับเด็กที่วางจำหน่ายในราคาไม่ถึงพัน (บน PC) ก็ถือว่าพอรับได้ (แต่สำหรับราคาประมาณ 1,700 บน PS ผู้เขียนแอบคิดว่าแพงเกินไปเช่นกัน)
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้โดยแบ่งเป็น 2 แบบครับ โดยถ้าหากมองในแง่ของคุณภาพของเกมนี้โดยอิงจากมาตรฐานของตลาดเกมในปัจจุบัน ผู้เขียนขอให้คะแนนที่ 6.5 เต็ม 10 แต่ถ้ามองในแง่ของเกมสำหรับเด็กผู้เขียนขอให้คะแนนที่ 8.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
ข้อดี
– เกมเพลย์ที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ง่ายแน่นอน
– กราฟิกที่มีสีสันสวยงามในระดับหนึ่ง
ข้อสังเกต
– กราฟิกแอบตกยุคไปบ้าง
– เกมเพลย์ที่ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก
สุดท้ายนี้ ทีมงาน This is Game Thailand ต้องขอขอบคุณทาง Ripples ที่เอื้อเฟื้อเกมดีๆ เกมมันส์ๆ มาให้พวกเราได้รีวิวกันในครั้งนี้ด้วยนะครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…