10 การเปลี่ยนแปลงในเกมดังที่เกิดขึ้นจาก Feedback ของผู้เล่น
มีทั้งพัฒนาไปข้างหน้าและตัวเกมถอยหลัง พังยิ่งกว่าเดิม

การจะทำเกมออกมาให้ดีนอกจากจะต้องมีทีมนักพัฒนามากฝีมือและทุนสนับสนุนที่มากพอ การฟัง Feedback ของเหล่าแฟนๆ ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้ เพราะต่อให้เกมที่ทำออกมาจะสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน แต่ถ้าแฟนๆ ไม่พอใจทางค่ายก็ต้องจำใจเปลี่ยนแปลงตามความต้องการให้กับเหล่าแฟนๆ ของพวกเขาอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตามใจคนเล่นนี้ ก็มีตั้งแต่กรณีที่ทำให้เกมพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น จนกลายเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม ไปจนถึงกรณีแย่ๆ อย่างการทำให้ตัวเกมสูญเสียตัวตนเดิม จนกลายเป็นเกมใหม่ที่ไร้ซึ่งชีวิตก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่มันจะมีเกมอะไรบ้างที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เล่น เรามาเริ่มไล่ดูไปพร้อมกันเลยดีกว่า

1. เน้นเนื้อเรื่องให้น้อยลง : Metal Gear Solid 5

สำหรับใครที่ติดตาม Metal Gear มาอย่างยาวนานคงทราบกันดีว่าอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเกมซีรี่ส์นี้ คือฉากคัตซีนภายในเกมที่ยาวแบบสุดๆ ยาวชนิดที่ว่ากว่า 50% (หรือมากกว่า) ของเวลาทั้งหมดภายในเกมเป็นฉากคัตซีนแล้วทั้งสิ้น ทำให้ในเวลาต่อมาทาง Kojima เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Metal Gear Solid 5 ด้วยการลดปริมาณฉากคัตซีนให้น้อยลง พร้อมใส่เกมเพลย์แบบจัดหนักจัดเต็มให้เราได้เล่นจนตาแฉะกันไปข้าง แต่ก็แลกกับการเล่าเรื่องที่ในเกมภาคนี้จะด้อยกว่าเกมภาคก่อนๆ อย่างมาก
2. ใส่ความ Action ที่มากเกินไปหน่อย : Resident Evil 6

Resident Evil คือซีรี่ส์เกมที่มีจุดขายในเรื่องของความน่ากลัวและเกมเพลย์สุดท้าทายตามแบบฉบับ Survival Horror แต่ในช่วงเวลาหนึ่งหลังจากการมาถึงของ Resident Evil 4 ที่เพิ่มความเป็น Action มากขึ้นและลดความเป็น Horror ให้น้อยลงซึ่งผลที่ได้คือความนิยมของซีรี่ส์ ที่พุ่งทะยานขึ้นอย่างน่าตกใจทั้งในด้านยอดขายและคำวิจารณ์ ทำให้ในเกมภาคต่อๆ ไปทาง Capcom เลือกที่จะเพิ่มความ Action เข้าไปในเกมซีรี่ส์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดอิ่มตัวในเกมภาค 6 ที่แม้จะเป็นอีกหนึ่งเกมขายดีประจำซีรี่ส์ แต่ด้วยความ Action ที่มากจนเกินพอดีนี้ก็ทำให้มันกลายเป็นเกมที่เหล่าแฟนๆ เดนตายไม่ปลื้มเลยสักนิด

3. เกมเน้นความเป็นเส้นตรงมากขึ้น : Pokemon

ณ ปัจจุบันเกมภาคหลักในซีรี่ส์ Pokemon มักจะมีปัญหาหลายๆ ที่ทำให้เหล่าสาวกเกมไม่ปลื้มอยู่หลายครั้ง และหนึ่งในนั้นคงไม่พ้นเรื่องความท้าทายของเกมที่ลดลงและการที่เกมถูกทำให้เป็นเส้นตรงมากขึ้น ซึ่งถ้าลองย้อนกลับไปสมัย Pokemon Diamond and Pearl ในยุคนั้นเราอาจพูดได้ว่ามันคือเกม Pokemon ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดโดยเฉพาะเรื่องของการออกแบบฉาก ที่มีทั้งความลึกและความซับซ้อนให้ผู้เล่นได้สำรวจ แต่ในปัจจุบันทางผู้พัฒนาหลักอย่าง Game Freak กลับเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงให้เกมเข้าถึงง่ายมากกว่าเดิมเพื่อเอาใจเหล่าแฟนๆ วัยเด็กมากกว่าเดิมทำให้ผู้เล่นจากยุคเก่าหลายๆ คนต้องเซ็งไปตามๆ กัน

4. เน้นโหมด Ultimate Team มากเกินไป : FIFA

นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาทาง EA เริ่มที่จะนำ Microtransaction, loot boxes และระบบอื่นๆ ที่สามารถเป็นตัวสร้างรายได้ระยะยาว ลงในเกมของตัวเองมากขึ้นโดยมี FIFA เป็นหัวหอกหลักด้วยการเพิ่มโหมด FIFA Ultimate Team ที่ได้กลายเป็นโหมดที่เหล่าแฟนเกมลูกหนังถูกใจอย่างมาก เป็นผลให้ในเวลาต่อมา Ultimate Team ได้กลายเป็นเสาหลักในการทำเงินของทาง EA แต่มันกลับแลกมาด้วยความใส่ใจในการทำส่วนอื่นๆ ของเกมที่ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดอาทิเช่น Career Mode อีกหนึ่งโหมดชูโรงของ FIFA ที่ในปัจจุบันกลับมีคุณภาพลดลงเรื่อยๆ เหมือนทำแบบขอไปทีแม้ผู้เล่นจะเรียกร้องเท่าไหร่ทาง EA ก็ดูไม่แคร์เลย

5. เปลี่ยนเกมเป็น Open World : Mass Effect: Andromeda

ใช่ว่าทุกเกมจะดีขึ้นถ้ามันเปลี่ยนเป็น Open World พิสูจน์ได้จากกรณีของ Mass Effect: Andromeda เกมภาคล่าสุดของซีรี่ส์ Mass Effect ที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบยกเครื่องจากเดิมที่เป็นเกมแบบเส้นตรงมีจุดแข็งในด้านการดำเนินเนื้อเรื่อง พร้อมช้อยส์การกระทำที่ส่งผลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเกมตามแบบฉบับ RPG ฝั่งตะวันตก แต่พอมาในเกมภาคนี้คงพูดได้แค่ว่า “พัง” ครับคือพังจริงๆ ต่อให้ไม่นับในเรื่องปัญหาทางเทคนิคต่างๆ ของตัวเกมในช่วงแรก Mass Effect: Andromeda ก็ยังถือเป็นเกมที่ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร แต่เชื่อหรือไม่ครับว่าการที่ทางทีมผู้พัฒนาตัดสินใจเปลี่ยนเกมเป็น Open World จริงๆ แล้วมาจาก Feedback ของแฟนๆ นะเออ

6. เน้นการดำเนินเนื้อเรื่องมากขึ้น : Final Fantasy 13

ก่อนที่การมาถึงของ Final Fantasy 13 เกมล่าสุดของซีรี่ส์ในเวลานั้นอย่าง Final Fantasy 12 ถือเป็นหนึ่งในเกม Final Fantasy ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดอีกหนึ่งเกมด้วยโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราว และความกว้างใหญ่ตระการตาให้ผู้เล่นได้สำรวจคล้ายกับเกม MMORPG แต่ถึงแม้ว่าตัวเกมจะสมบูรณ์ดีไม่มีปัญหา Final Fantasy 12 กลับมีผู้เล่นหลายๆ คนที่ไม่ค่อยปลื้มกับมันสักเท่าไหร่ เพียงเพราะตัวเกมไม่ได้เน้นการดำเนินเนื้อเรื่องมากเท่ากับเกมภาคก่อนๆ ทำให้ในเวลาต่อมาทาง Square Enix เลือกที่จะทำให้ Final Fantasy 13 เน้นหนักไปในด้านการดำเนินเรื่องโดยเฉพาะ แต่มันก็แลกด้วยการที่เกมมีความเป็นเส้นตรงมากจนเกินไป ทำให้เสน่ห์ของเกมซีรี่ส์นี้หายไปอย่างช่วยไม่ได้

7. การทำให้เกมเข้าถึงง่ายมากขึ้น : Monster Hunter World

พักจากเรื่องลบๆ มาเป็นเรื่องดีๆ กันบ้างดีกว่ากับเกมต่อไปในวันนี้อย่าง Monster Hunter World เกมล่าแย้ยอดนิยมขวัญใจมหาชน ที่นอกจากจะเป็นเกมภาคแรกที่เปิดตัวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว เกมภาคนี้ยังมาพร้อมความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมซีรี่ส์ไปในทางที่ดีขึ้น นั่นก็คือการปรับปรุงระบบต่างๆ ภายในเกมเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่นมากขึ้น รวมไปถึงเกมเพลย์ที่ถูกออกแบบใหม่ให้เข้าใจง่ายกว่าภาคก่อนๆ ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ Monster Hunter World ติดลมบนกลายเป็นเกมยอดนิยมที่ ณ ปัจจุบันยังคงมีคนเข้ามาเล่นอยู่เรื่อยๆ

8. การมาถึงของ Batmobile : Batman Arkham Knight

หลังจากที่เรียกร้องกันมานานว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะได้ขับยานพาหนะสุดเท่อย่าง Batmobile สักทีจนมาในเกมภาคล่าสุดของซีรี่ส์ทาง Rocksteady ก็ได้สนองความต้องการให้กับเหล่าสาวก Batman ด้วยการเพิ่ม Batmobile มาให้เป็นยานพาหนะที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบพร้อมแผนที่เมือง Gotham ที่ยกมาอย่างจัดเต็ม แต่ผลสุดท้ายคำว่า “ผิดหวัง” น่าจะเป็นคำอธิบายที่เหมาะที่สุดแล้วเพราะถึงแม้ว่า Batmobile จะเล่นสนุกในช่วงแรกๆ แต่พอนานๆ ไปมันกลับเป็นส่วนที่ถูกนำมาใช้มากจนเกินพอดี แทนที่เราจะได้เล่นเป็น Batman เดินลุยกับเหล่าร้ายก็กลายมาเป็น World of Tank ซะอย่างงั้น

9. ไม่มี DLC เพิ่มในโหมดเล่นคนเดียว : GTA V

ในช่วงที่ GTA V ออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกผู้เล่นหลายๆ คนต่างลงความเห็นว่าอย่างน้อยในเกมภาคนี้ต้องมี Expansion ส่วนเสริมที่จะมาเพิ่มชั่วโมงการเล่นในโหมด Singleplayer ตามแบบที่ทางทีมงานเคยทำไว้ใน GTA IV และ Red Dead Redemption แต่ทาง Rockstar กลับทำในสิ่งที่ใครหลายคนคาดไม่ถึงนั่นก็คือ GTA Online โหมดเกมใหม่ที่ในตอนนี้ได้กลายเป็นโหมดยอดนิยมของผู้เล่นทั่วทุกมุมโลก จนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมอย่าง GTA V มีอายุยืนยาวกว่า 8 ปีเลย (และทำให้ทางทีมงานไม่รีบทำ GTA 6 ออกมาซะที)

10. คอนเทนต์ Endgame ที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น : Destiny 2

ในช่วงที่ Destiny 1 ออกวางจำหน่ายตัวเกมเคยประสบปัญหา ในเรื่องของคอนเทนต์ที่มีน้อยเกินไปทำให้ทาง Bungie จำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ อย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้กระแสของ Destiny ยังพอถูๆ ไถๆ พอประคองไปได้อยู่ แต่ตัวเกมยังคงมีปัญหาใหญ่ที่พวกเขาอาจมองข้ามไปนั่นก็คือช่วง Endgame ที่เน้นการ Grinding มากเกินพอดีจนเป็นเหตุให้ผู้เล่นหลายๆ คนออกมาโวยด้วยความไม่พอใจ จนมาในเกมภาคต่อไปอย่าง Destiny 2 ทางทีมงานก็ได้ลดการ Grinding ให้น้อยลงกว่าเดิม แต่อาจเป็นเพราะยังหาจุดลงตัวไม่ได้ทำให้ผลที่ออกมาคือคอนเทนต์ Endgame ที่กลวงแบบสุดๆ จนผู้เล่นหลายๆ คนต้องกุมขมับ (แต่ยังดีที่ในตอนนี้ตัวเกมมีคอนเทนต์ที่แน่นพอแล้ว)

การรับฟังความคิดเห็นและ Feedback จากแฟนๆ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ยังเป็นเรื่องที่ทุกๆ ค่ายเกมควรพึงกระทำอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากจะทำให้ทางทีมงานทราบถึงข้อบกพร้องของตัวเกม มันยังเป็นการแสดงความใส่ใจให้เหล่าแฟนๆ ได้ชื่นใจกันอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นหากเหล่าแฟนเกมต้องการความเปลี่ยนแปลงจากเกมที่เขาเล่น การเดินหน้ายกเครื่องเกมใหม่ทั้งหมดเพื่อสนองความต้องการผู้เล่น ยังคงเป็นเรื่องที่ทางทีมงานต้องทำอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะโอกาสที่เกมจะออกมาดีมันก็มีเท่ากับการที่เกมฉบับใหม่จะออกมาพังกว่าเกมก่อนหน้าเช่นกัน