เทคโนโลยี

[รีวิว] iPhone 15 Plus มาพร้อมกับการอัปเกรดครั้งใหญ่

มี USB-C และแบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานกว่ารุ่น Pro Max

ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ iPhone 15 Pro แต่สำหรับใครที่อยากจะเป็นเจ้าของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมัยใหม่ของ iPhone แต่ไม่อยากจะจ่ายด้วยราคาที่สูงจนเกินไป แต่ยังอยากได้หน้าจอที่ใหญ่ระดับ 6.7 นิ้วอยู่ ต้องนี่เลย iPhone 15 Plus ด้วยราคาเริ่มต้น 37,900 บาท แต่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ดูคุ้มที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

iPhone 15 Plus มาพร้อมกับการนำสิ่งที่มีอยู่ในรุ่นเรือธงปีก่อนอย่าง iPhone 14 Pro มาใช้งานไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลแบบ Dynamic Island ชิปเซ็ตภายใน A16 ตัวแรงจากปีก่อนที่ในปีนี้ยังหาตัวจับได้ยากเช่นเดิม สุดท้ายเป็นเรื่องของความละเอียดกล้องหลังที่ให้มา 48MP เท่ากัน แต่ปรับลดสเปคลงมาเล็กน้อย

image 1949

แต่ที่อาจทำให้ผู้ใช้งานรุ่นก่อนได้อิจฉากันคือเรื่องของพอร์ตการใช้งานที่ได้รับ USB-C มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้เราสามารถที่จะใช้งานสายร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้โดยที่ไม่ต้องซื้อใหม่เป็นประจำทุกครั้ง และต้องยอมรับว่ารุ่น Plus ในปีนี้น่าสนใจกว่าทุกครั้งที่เปิดตัว เป็นรุ่นที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนที่อยากได้ iPhone หน้าจอใหญ่แต่ไม่อยากขยับไปเล่นรุ่น Pro Max ได้เป็นอย่างดี ว่าแต่การเปลี่ยนแปลงที่เราบอกเอาไว้ประกอบไปด้วยอะไรบ้างเราไปดูกันเลย

Design

สารภาพตามตรงว่าแว่บแรกที่ได้เห็นตัวเครื่องที่มาด้วยการใช้งานสีฟ้ารู้สึกว่ามันสวย และมีจุดเด่นในเรื่องของงานประกอบและวัสดุที่ใช้งาน มีการใช้งานอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ทางอุตสาหกรรมการบิน ประกอบกับมุมของตัวเครื่องทำออกมาได้แบบไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้ต้องกังวลใจว่าจะบาดเมือ

image 1950

ด้วยความที่วัสดุที่ใช้งานรอบตัวเครื่องระหว่างรุ่นเริ่มต้นกับรุ่น Pro แตกต่างกันทำให้สัมผัสเวลาที่เราถือย่อมต่างกันไปด้วย รุ่น Pro ใช้งานไทเทเนียมแต่สำหรับรุ่นเริ่มจะมาพร้อมกับผิวสัมผัสที่เราคุ้นเคย ด้านหลังใช้งานเป็นกระจก ส่วนด้านหน้าเป็น Ceramic Shield เมื่อถือเทียบกันแล้วแบบใช้งานด้วยมือเดียว จะเห็นได้ชัดว่าไทเทเนียมช่วยให้การจับถนัดและเข้ามือมากกว่า ส่วนแบบที่ใช้ใน iPhone 15 Plus จะให้ความรู้สึกที่ถือได้ แต่อาจมีลุ้นหากมือชุ่มเล็กน้อย

image 1951

นั่นคือสิ่งที่เราจับสังเกตได้จากการเทียบกัน แต่ในแง่ที่ดีกว่าคือการที่ตัวเครื่องไม่ต้องกังวลว่าจะมีรอยนิ้วมือติดเวลาใช้งาน เนื่องจากผิวสัมผัสทำออกมาให้ไม่เก็บในส่วนนั้น อีกทั้งน้ำหนักของตัวเครื่องยังเบากว่ารุ่น Pro Max ที่มีขนาดหน้าจอแบบเดียวกัน โดยที่ตัวเครื่องมีน้ำหนักทั้งสิ้น 201 กรัม หากเทียบกับรุ่นก่อนถือว่าเบาขึ้น 2 กรัม

image 1952
image 1953
image 1954

สีที่มีให้เลือกภายในปีนี้ประกอบไปด้วยกันทั้งหมด 5 สีและล้วนเต็มไปด้วยสีที่ค่อนข้างพาสเทลทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ดำ, ฟ้า, เขียว, เหลืองและชมพู เอาจริง ๆ แว่บแรกที่เห็นตัวเครื่องที่เราทดสอบถึงกับอุทานออกมาว่านี่มันสีขาว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นสีฟ้าต่างหาก การไล่เรียงโทนสีที่ใช้งานในตัวเครื่อง Apple ค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับความสว่างของสีมากกว่าที่จะเป็นโทนเข้ม เป็นสิ่งที่แตกต่างจากรุ่น Pro อย่างชัดเจน

image 1955

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องพูดถึงคือพอร์ตการใช้งานที่ถูกเปลี่ยนแปลงจาก Lightning มาเป็น USB-C นับเป็นครั้งแรกในรุ่นเริ่มต้นที่มีการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเรื่องดีที่มีการเปลี่ยนมาใช้งานก็ตาม แต่ข้อจำกัดที่พบได้ในรุ่นเริ่มคือรองรับการใช้งานแบบ USB 2 เท่านั้น ทำให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 480Mbps หากใครจะย้ายข้อมูลขนาดใหญ่อย่างไฟล์ 4K ก็อาจต้องรอกันเสียหน่อย แต่ข้อจำกัดนี้จะหายไปจากรุ่น Pro ที่ได้ USB 3 รองรับความเร็ว 10Gbps

สายที่ให้มาในเครื่องเป็นแบบ USB-C ทั้งสองหัวทำให้หากใครที่ซื้อรุ่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี จำเป็นที่จะต้องหาอะแดปเตอร์ที่รองรับการใช้งานมาเพิ่มเติมด้วย แต่หากใครที่มีอุปกรณ์อย่าง iPad หรือ MacBook อยู่ก่อนแล้วก็สามารถที่จะใช้งานร่วมกันได้ไม่มีปัญหา

Display

image 1956

อย่างที่เราทราบกันว่า Apple ได้ออกแบบรุ่นย่อยของตัวเครื่องในทุกปีเป็นสองรุ่นคือหน้าจอ 6.1 นิ้วและหน้าจอ 6.7 นิ้ว นี่เป็นความตั้งใจที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าตัวเองอยากจะใช้งานหน้าจอที่มีขนาดเท่าใด และ iPhone 15 Plus จะตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการประสบการณ์ที่ใหญ่เต็มตา

image 1957

ตัวเครื่องมาพร้อมกับการใช้งานหน้าจอแบบ Super Retina XDR ทำให้การรับชมเนื้อหาใด ๆ ก็ตามผ่านหน้าจอของตัวเครื่องเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสว่างของหน้าจอที่ทำงานในสภาวะปกติได้สูงสุด 1,000 nits และสามารถเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 2,000 nits เมื่อทำงานอยู่กลางแจ้ง พร้อมรองรับการแสดงผลแบบ HDR

สิ่งที่น่าเสียดายและไม่ทราบเหมือนกันว่าทาง Apple จะเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่สำหรับรุ่นเริ่มต้นที่ยังคงให้หน้าจอแสดงผลเพียงแค่ 60Hz มาให้ใช้งานเท่านั้น ในขณะที่รุ่น Pro มีหน้าจอ ProMotion รองรับการแสดงผลสูงสุด 120Hz หากสามารถปรับในจุดนี้ให้รองรับอย่างน้อย 90Hz เชื่อว่าหลายคนน่าจะพอใจแล้ว

image 1958

นอกจากเรื่องของพอร์ตการใช้งานที่เป็นจุดสังเกตของการเปลี่ยนแปลงในทุกรุ่นย่อยแล้ว อีกหนึ่งจุดที่เปลี่ยนแปลงไปในรุ่นเริ่มต้นคือการได้หน้าจอแบบ Dynamic Island มาให้ได้ใช้งาน จากเดิมที่มีในเฉพาะรุ่น Pro เท่านั้น ในตอนนี้มาให้ใช้งานครบทุกรุ่น และนั่นนำมาสู่การมอบประสบการณ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรับการแจ้งเตือนโดยไม่ต้องบังการแสดงผลบนหน้าจอ หรือควบคุมวิดีโอหรือเพลงที่รับฟังได้โดยตรง แบบไม่ต้องเข้าไปในแอปพลิเคชัน

ในภาพรวมแล้วเรื่องของหน้าจอแสดงผลที่มีใน iPhone 15 Plus ไม่ได้เป็นจุดที่ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงการเปลี่ยนผ่านในแง่ของการเป็นจอแสดงผลจริง ๆ ความละเอียด ของจอไม่ได้เปลี่ยนแบบก้าวกระโดด การแสดงผลยังถูกจำกัดเพียง 60Hz หากใช้งานทั่วไปคงไม่รู้สึก แต่การนำไปเล่นเกมจะค่อนข้างเห็นผล แต่โดยรวมถือว่าเป็นจอระดับบนของสมาร์ทโฟนที่ดีรุ่นหนึ่ง เกือบลืมตัวเครื่องรุ่นเริ่มไม่รองรับการแสดงผล Always on Display

Performance

iPhone 15 Plus มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างชิปเซ็ตที่ใช้งานได้เป็น A16 ชิปเซ็ตเดียวกันกับที่มีการใช้งานอยู่ภายใน iPhone 14 Pro ปีก่อน ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าประสบการณ์ในการเล่นเกมจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา ใครที่อยากได้เครื่องจอใหญ่เล่นเกมได้ในระยะยาว

image 1959
image 1960

ประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนอย่าง iPhone 14 Plus และ iPhone 14 Pro Max ที่มีการนำชิปเซ็ตเดียวกันมาใช้งานให้ผลลัพธ์ออกมาดังนี้

image 1961
image 1962
image 1963
image 1964

จากการทดสอบใช้งานเล่นเกมอย่าง ROV หรือ Honkai Star Rail พบว่าสามารถที่จะเปิดกราฟิกในระดับสูงสุดได้ โดยมีข้อแม้ในการเล่นเหมือนกับทุกครั้งที่เราได้กล่าวถึงกันใน iPhone รุ่นที่ผ่านมา คือเมื่อใช้เล่นไปได้สักระยะหนึ่งไม่ถึง 30 นาที ตัวเครื่องจะมีความร้อนสะสมพอสมควร ทำให้การจะถือเล่นด้วยมือเป็นเรื่องยาก

image 1965
image 1966

ทางแก้ออกได้หลายหน้าไม่ว่าจะเป็นการหาจอยมาต่อเพื่อเล่นเป็นเวลานาน หรือจะเป็นการอยู่ในห้องแอร์ก็พอที่จะช่วยทำให้เราสามารถเล่นกับ iPhone 15 Plus ได้นานยิ่งขึ้น แน่นอนว่าการแก้ไขในส่วนของการระบายความร้อนระหว่างเล่นไม่น่าจะสามารถทำอะไรได้แล้วในอนาคต แต่ทาง Apple มีตัวเลือกที่จะปล่อยอัปเดตระบบออกมาเพื่อทำให้การเรียกใช้ทรัพยากรของเครื่องทำออกมาได้ดีกว่านี้ มันจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมากหากให้ชิปเซ็ตที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แต่ถูกจำกัดด้วยเรื่องความร้อนแบบนี้

image 1967
image 1968

ตัดภาพไปที่การใช้งานในส่วนอื่นด้วยสิ่งที่ให้มาไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องกลัวว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีในการใช้งานชิปเซ็ต A16 สามารถรันทุกแอปพลิเคชันที่มีอยู่ในตอนนี้ได้แบบไม่มีปัญหา สามารถสลับไปมาระหว่างแอปได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะพบกับการโหลดใหม่ของแอปพลิเคชันที่สลับออกมา

image 1969

สุดท้ายคงต้องวนกลับมาที่เดิมคือการให้หน้าจอ 60Hz มาสวนทางกับชิปเซ็ต A16 ที่จับคู่กัน หากได้มาเป็นอย่างน้อย 90Hz คงเป็นเรื่องที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายทั้ง Apple และผู้ใช้งาน

Camera

image 1970
image 1971
image 1972

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนีไม่พ้นกล้องหลังที่ได้รับการยกเครื่องครั้งใหญ่ จากเดิมมีความละเอียดเพียงแค่ 12MP เท่านั้น มาใน iPhone 15 Plus ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาใช้งานกล้องความละเอียด 48MP รองรับการซูมแบบออพติคัล 2 เท่าและซูมแบบดิจิทัล 10 เท่า

image 1973

นอกจากนี้ยังมีเลนส์ ultrawide ที่สามารถเก็บมุมมองของภาพได้ 120 องศา ขณะที่กล้องหน้ามีความละเอียด 12MP พร้อมความสามารถในการบันทึกวิดีโอได้สูงสุด 4K 60fps ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อย่างไรก็ตามใครที่จะเอาภาพไปแต่งต่อแบบไม่เสียรายละเอียดด้วยไฟล์ ProRaw ไม่ได้มีมาให้ใช้งานในรุ่นนี้ แต่รองรับการถ่ายด้วยไฟล์ HEIF และ JPEG ได้

image 1974
image 1975

Battery

พูดถึงเรื่องของแบตเตอรี่อาจทำให้หลายคนประหลาดใจว่าจริง ๆ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของรุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมา iPhone 15 Pro Max น่าจะเป็นรุ่นที่สามารถใช้งานได้ยาวนานที่สุด แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่า iPhone 15 Plus สามารถที่จะตอบโจทย์ในแง่ของการใช้งานแบตเตอรี่ตลอดทั้งวันได้ยาวนานกว่า

image 1976

เทียบให้เห็นภาพหากเริ่มต้นใช้งานที่เวลา 6 โมงเช้าโดยที่แบตเตอรี่ของทั้งสองเครื่องเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้งานในรูปแบบเดียวกันระหว่างวันพบว่าเมื่อถึงเวลา 4 ทุ่ม เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่ของ iPhone 15 Plus มีมากกว่า iPhone 15 Pro Max แม้จะต่างกันไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์แต่ก็เป็นตัวเลขที่มีความแตกต่างกัน โหมดการชาร์จเป็นแบบเดียวกันกับรุ่นอื่นที่เปิดตัวออกมาพร้อมกันคือชาร์จแบบถนอมแบตเตอรี่ ชาร์จแบบจำกัดเอาไว้ที่ 80 เปอร์เซ็นต์และปล่อยชาร์จตามปกติ

ข้อสังเกตที่เป็นทุกรุ่นใน iPhone 15 คือการใช้งานพอร์ตชาร์จ USB-C ที่รองรับการชาร์จไวเพียงแค่ 20W เท่านั้น ตัวเลขออกมาในทิศทางเดียวกันแม้ว่า Apple จะบอกว่าชาร์จ 30 นาทีจะได้มา 50 เปอร์เซ็นต์แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ออกมาเช่นนั้น

Conclusion

image 1978

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เราไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมในรุ่นเริ่มต้นของ iPhone การมาถึงของ iPhone 15 Plus นับเป็นสัญญาณที่ดีของผู้ที่สนใจอยากจะทำการเปลี่ยนแปลงเครื่องที่ใช้งานอยู่ ด้วยภาพลักษณ์ใหม่รอบตัวเครื่องตั้งแต่หน้าจอ Dynamic Island ชิปเซ็ตรุ่นท็อป พอร์ต USB-C และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ไร้กังวล แม้จะยังมีสิ่งที่ถูกจำกัดจากนโยบายการขายอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าการมาถึงในปีนี้นำสิ่งใหม่มาสู่ผู้ใช้งาน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหากจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีในทุกรุ่นย่อย

ข้อดี

– หน้าจอมาพร้อมกับ Dynamic Island ที่เพิ่มลูกเล่นในการใช้งาน

– คุณภาพหน้าจอ Super Retina XDR ที่ไว้ใจได้ในทุกการใช้งาน

– การออกแบบและสีที่มีให้เลือกหลากหลายแบบ

– ชิปเซ็ตตัว A16 ที่แม้เป็นของรุ่นก่อนแต่ยังคงแรงกว่าคู่แข่งในตอนนี้

– กล้องยกเครื่องคุณภาพใหม่หมดจด

– แบตเตอรี่อึดทนที่สุดในรุ่นที่เปิดตัว

ข้อสังเกต

– หน้าจอยังรองรับการแสดงผลแค่ 60Hz

– แบตเตอรี่ชาร์จได้ช้ากว่ารุ่นอื่นหากเทียบกับราคาที่จ่ายไป

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง Apple ประเทศไทยที่ได้ทำการส่ง iPhone 15 Plus มาให้เราทำการทดสอบกันใครที่สนใจสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ตาม Apple Store, ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ และร้านค้าไอทีชั้นนำทั่วไป

สั่งซื้อสินค้าได้ที่ [คลิก]

แกะกล่องพรีวิว iPhone 15 Pro Max และ iPhone 15 Plus พร้อมเทียบ iPhone 14 Pro Max และ iPhone 14 Plus

Artherlus

แค่คนทั่วไปที่หลงใหลในวงการไอที
Back to top button