Mozilla เดินหน้า AI ใน Firefox สวนกระแสความต้องการของผู้ใช้งาน
แม้ยืนยันมีปุ่มปิดการใช้งาน

กระแสต่อต้านการรุกคืบของปัญญาประดิษฐ์ในโลกคอมพิวเตอร์กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่า AI กลายเป็นสิ่งรบกวนมากกว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเนื้อหาคุณภาพต่ำที่ผลิตโดย AI เริ่มหลั่งไหลเข้ามาจนเต็มฟีดข่าวและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทำให้ความขลังของเทคโนโลยีนี้เริ่มจางหายไปในสายตาผู้ใช้งานทั่วไป
ก่อนหน้านี้เราได้เห็นตัวอย่างชัดเจนจากกลุ่มผู้ใช้ Windows จำนวนมากที่แสดงจุดยืนแข็งกร้าวด้วยการปฏิเสธการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ หลังจากที่ Microsoft ประกาศแนวคิด agentic OS ซึ่งสะท้อนถึงความไม่พอใจต่อการถูกบังคับให้รับเอา AI เข้ามาผสานอยู่ในประสบการณ์ใช้งานหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์ แนวโน้มดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้ใช้ที่มีต่อเทคโนโลยีนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
ล่าสุด Mozilla ก็ไม่รอดพ้นแรงเสียดทานนี้เช่นกัน เมื่อ Anthony Ensor-DeMeo ซีอีโอคนใหม่ ได้ออกมาประกาศทิศทางที่จะปั้นให้ Firefox กลายเป็น เบราว์เซอร์ AI ยุคใหม่ พร้อมกับการเสริมซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์เข้าไปในตัวโปรแกรม การประกาศดังกล่าวได้จุดชนวนความไม่พอใจอย่างรุนแรงในกลุ่มผู้ใช้งานที่เคยยกย่องและศรัทธาว่า Firefox เป็นหนึ่งในไม่กี่เบราว์เซอร์ที่ยังคงจุดยืนเรื่องความเป็นส่วนตัวและปลอดจาก AI

เสียงวิจารณ์หลั่งไหลออกมาอย่างรุนแรงบนโลกโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้จำนวนมากระบุว่าเหตุผลเดียวที่พวกเขาเลือกใช้ Firefox ก็เพราะไม่ต้องการฟีเจอร์ AI ที่ยุ่งยากและน่ารำคาญใจเหมือนเบราว์เซอร์เจ้าอื่น บางรายถึงขั้นออกมาเตือนว่าหาก Mozilla ยังคงเดินหน้าแนวทางนี้ต่อไป อาจจะเป็นการผลักไสไล่ส่งให้ฐานผู้ใช้ที่จงรักภักดีต้องหนีไปหาเบราว์เซอร์ทางเลือกอื่นเป็นการถาวร ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อโครงการโอเพ่นซอร์สในระยะยาว
แม้ทาง Mozilla จะรีบออกมาชี้แจงเพื่อลดอุณหภูมิความร้อนแรงว่า ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกปิดฟีเจอร์ AI ทั้งหมดได้ด้วยตัวเองผ่านปุ่ม kill switch แต่คำอธิบายดังกล่าวกลับยิ่งสร้างข้อกังขาและไม่สามารถคลายความกังวลได้ เพราะหลายคนมองว่าการที่ต้องมานั่งปิดเองนั้นสะท้อนว่า AI ถูกตั้งค่ามาให้ทำงานเป็นค่าเริ่มต้นแต่แรก ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่เป็นทางเลือกจริงๆ และยังทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสในการสื่อสารกับชุมชนนักพัฒนา
ในขณะที่ Firefox กำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล คู่แข่งอย่าง Vivaldi กลับเลือกที่จะยืนอยู่ตรงข้ามอย่างชัดเจน โดยซีอีโอของ Vivaldi ประกาศกร้าวว่าจะใช้ AI ก็ต่อเมื่อเทคโนโลยีนั้นไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว ไม่ทำลายโครงสร้างของเว็บแบบเปิด และไม่ลดทอนบทบาทของผู้ใช้งานให้กลายเป็นเพียงผู้เสพข้อมูลแบบเฉื่อยชา จุดยืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้ยิ่งทำให้ทิศทางในอนาคตของ Firefox ถูกจับตามองและวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา







