Microsoft เริ่มบังคับให้ผู้ใช้งาน Windows 10 อัปเกรดสู่ระบบใหม่
กระทบผู้ใช้งานกว่า 850 ล้านราย

Microsoft เดินหน้าใช้นโยบายบังคับอัปเกรด Windows สองครั้งในสัปดาห์เดียว สร้างความกังวลให้กับผู้ใช้ Windows 10 กว่า 850 ล้านรายทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการอัปเกรดเป็น Windows 11 ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ใช้ประมาณ 400 ล้านรายที่ไม่สามารถอัปเกรดได้เนื่องจากเครื่องไม่รองรับ TPM 2.0
การบีบอัปเกรดครั้งนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการยืนยันว่าในเดือนหน้า Microsoft จะเริ่มติดตั้งแอป Outlook ใหม่ลงในอุปกรณ์ Windows 10 ทุกเครื่องแบบบังคับ และในเวลาเดียวกันก็มีรายงานว่า Windows 11 24H2 ได้เริ่มถูกติดตั้งแบบบังคับในระบบที่มีสิทธิ์และไม่ได้รับการจัดการ (non-managed systems) ซึ่งใช้ Windows 11 Home และ Pro
ทั้งนี้ การอัปเดตดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่ Microsoft เคยเตือนล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยระบุว่าเมื่อผู้ใช้เข้าใกล้หรือถึงกำหนดสิ้นสุดการสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows ปัจจุบัน ระบบอาจพยายามดาวน์โหลดและติดตั้งฟีเจอร์อัปเดตโดยอัตโนมัติ

แม้ Microsoft จะอธิบายว่าการอัปเดตฟีเจอร์จะเพิ่มฟังก์ชันใหม่และช่วยรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ แต่สำหรับผู้ใช้ Windows 10 จำนวนมากที่กำลังเผชิญกับปัญหาการสิ้นสุดการอัปเดตด้านความปลอดภัย นี่อาจหมายถึงความจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้เครื่องใหม่ทั้งหมด
สำหรับกลุ่มผู้ใช้ที่เครื่องไม่รองรับการอัปเกรด Microsoft ได้เสนอทางเลือกให้ขยายการสนับสนุนออกไปอีก 12 เดือนในราคา 30 ดอลลาร์ ซึ่งจะหมดอายุในเดือนตุลาคม 2026 อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังคงยืนยันว่าปี 2025 จะเป็นปีแห่งการปรับเปลี่ยนไปสู่ Windows 11 และแอป Microsoft 365 จะหยุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคมปีนี้ ทำให้ทางเลือกของผู้ใช้งานยิ่งจำกัด
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Windows 10 กลับมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้มีแนวโน้มลดลง สะท้อนว่าผู้ใช้บางส่วนอาจยังคงต้องการไปต่อกับระบบปฏิบัติการที่พวกเขาคุ้นเคย อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังคงผลักดันการอัปเกรดอย่างต่อเนื่องด้วยการแจ้งเตือนและข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยในอนาคต
ท้ายที่สุด สำหรับผู้ใช้ Windows 10 การอัปเกรดเครื่องหรือเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 อาจกลายเป็นทางเลือกเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ Windows ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ การปล่อยให้ผู้ใช้งานจำนวนมากอยู่นอกการสนับสนุนด้านความปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในระยะยาว