Google ไม่ถูกบังคับขาย Chrome แม้ครองตลาดเบราว์เซอร์เกือบทั้งหมด
ศาลสหรัฐตัดสินไม่ผิดร้ายแรงพอ

ศาลสหรัฐในคดี United States of America v. Google LLC ตัดสินเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยผู้พิพากษา Amit Mehta ว่า Google จะไม่ถูกบังคับให้ขาย Chrome แม้จะครองตลาดเบราว์เซอร์ใกล้เคียงกับการผูกขาด แต่อำนาจเหนือตลาดนี้ไม่เชื่อมโยงอย่างเพียงพอกับพฤติกรรมผิดกฎหมายที่ผ่านมา DOJ เคยเรียกร้องให้มีการแยกแต่ศาลปฏิเสธ
ผู้พิพากษาชี้ว่าความสำเร็จของ Google มาจากปัจจัยถูกกฎหมาย เช่น คุณภาพการค้นหาชั้นนำ นวัตกรรมต่อเนื่อง การลงทุนในบุคลากร การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และชื่อเสียงแบรนด์ โดยมีหลักฐานชัดเจนนอกจากนี้ Google ยังไม่ถูกห้ามให้จูงใจให้มีการติดตั้งหรือจัดวางผลิตภัณฑ์ล่วงหน้า และไม่ต้องแสดงหน้าจอเลือกเบราว์เซอร์ให้ผู้ใช้หรือคู่แข่ง Android
คดีนี้เริ่มมาตั้งแต่ตุลาคม 2020 โดย DOJ กล่าวหาว่า Google ครองตลาด ในเดือนสิงหาคม 2024 ผู้พิพากษายืนยันว่าบริษัทเป็นแบบผูกขาดและไม่มีคู่แข่งที่แท้จริง แต่การพิจารณาครั้งนี้เปลี่ยนไปเพราะ generative AI หรือ GenAI ซึ่งศาลมองว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม โดยยกตัวอย่าง ChatGPT ที่ยังไม่แทนที่เครื่องมือค้นหาทั่วไป

สำหรับผลกระทบต่อ Google ศาลกำหนดข้อจำกัดบางเรื่อง เช่น ห้ามทำสัญญาผูกขาดสำหรับการกระจายเครื่องมือค้นหา ผู้ช่วย หรือ Chrome และต้องแบ่งปันข้อมูล Index อีกทั้งต้องเสนอบริการค้นหาและโฆษณาให้คู่แข่งที่ผ่านคุณสมบัติเพื่อรักษาคุณภาพสูง ขณะที่ข้อเสนออื่น ๆ เช่น แคมเปญให้ความรู้ประชาชนหรือปรับนโยบายสำหรับผู้เผยแพร่เนื้อหา ถูกปฏิเสธ
คำตัดสินนี้สะท้อนว่า AI กำลังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการแข่งขันในตลาดค้นหาและเบราว์เซอร์ โดยนักพัฒนาอาจเพิ่มฟีเจอร์ค้นหาในแพลตฟอร์ม AI ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้คู่แข่ง แต่หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหญ่ ทำให้กูเกิลรักษาตำแหน่งได้ คำตัดสินนี้เป็นชัยชนะสำหรับ Google ท่ามกลางการตรวจสอบจากรัฐบาลสหรัฐต่อยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี
ทั้งสองฝ่ายต้องยื่นคำตัดสินสุดท้ายภายใน 10 กันยายน 2025 เพื่อแก้ไขความแตกต่าง โดยคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลัก คดีนี้ยังคงเป็นตัวอย่างสำคัญในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในยุค AI