
Apple เปิดตัว iPhone 17 ซีรีส์ โดยมี iPhone Air เป็นรุ่นเด่นด้วยความบางเพียง 5.6 มม. ถือเป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา อย่างไรก็ตาม การออกแบบนี้มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการตัดช่องใส่ซิมการ์ดแบบกายภาพออกทั้งหมด โดย iPhone Air รองรับเฉพาะ eSIM เท่านั้น เพื่อให้ได้ดีไซน์ที่บางเฉียบและประหยัดพื้นที่ภายใน
การใช้ eSIM ช่วยให้ iPhone Air มีความยืดหยุ่นและปลอดภัยมากขึ้น โดยรองรับผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 500 รายทั่วโลก รวมถึง AT&T, T-Mobile และ Verizon นอกจากนี้ eSIM ยังอำนวยความสะดวกสำหรับนักเดินทางด้วยแผน roaming ราคาประหยัดจากกว่า 200 เครือข่าย และ iOS 26 ยังมีระบบตั้งค่า eSIM ที่ง่ายขึ้น ช่วยให้การจัดการซิมสำหรับการเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น
การตัดช่องซิมกายภาพช่วยให้ Apple เพิ่มพื้นที่ภายในเครื่อง ซึ่งสามารถใช้ขยายขนาดแบตเตอรี่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการแบตเตอรี่ยาวนานขึ้นของผู้ใช้ นอกจากนี้ การไม่มีช่องซิมยังช่วยเพิ่มความทนทานต่อน้ำและฝุ่น ทำให้ iPhone Air มีระดับการป้องกัน IP สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมาใช้ eSIM อาจสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้ใช้บางกลุ่ม

ข้อจำกัดของ eSIM คือไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายเหมือนซิมกายภาพ หากโทรศัพท์เสียหรือต้องการเปลี่ยนเครื่อง ผู้ใช้จะต้องผ่านกระบวนการตั้งค่าใหม่ ซึ่งอาจยุ่งยากกว่า นอกจากนี้ ในบางภูมิภาคนอกสหรัฐอเมริกา ผู้ให้บริการบางรายอาจยังไม่รองรับ eSIM ทำให้ตัวเลือกเครือข่ายจำกัดสำหรับผู้ใช้ในพื้นที่เหล่านั้น
จากมุมมองด้านความเป็นส่วนตัว การถอดซิมกายภาพออกเพื่อตัดการเชื่อมต่อเครือข่ายและป้องกันการติดตามจะทำไม่ได้ใน iPhone Air เนื่องจาก eSIM ฝังอยู่ในตัวเครื่อง แม้ว่าคู่แข่งอย่าง Galaxy S25 Edge จะรองรับทั้งซิมกายภาพและ eSIM แต่ Apple เลือกเดินหน้าเต็มตัวกับ eSIM ตามแนวโน้มที่เริ่มในรุ่นก่อน ๆ ในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Google ที่ใช้ eSIM เฉพาะใน Pixel 10 ซีรีส์
แม้จะมีข้อจำกัด แต่ eSIM ถือเป็นอนาคตของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ โดย Apple และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกำลังผลักดันให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบ iPhone Air ที่บางเฉียบและการใช้ eSIM อาจเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ แต่สำหรับบางคน การสูญเสียความสะดวกของซิมกายภาพอาจเป็นจุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม