5 แนวทางที่อาจเป็นไปได้หากซีรีส์ Clair Obscur ได้ทำต่อ

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวเกมเมอร์ หลังจากที่ Guillaume Broche ผู้กำกับเกม Clair Obscur: Expedition 33 ออกมายืนยันว่า “เกมนี้ไม่ใช่จุดจบ” แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ Clair Obscur ทำให้แฟน ๆ เริ่มคาดเดากันทันทีว่า ทิศทางต่อไปของซีรีส์นี้จะเป็นอย่างไร เพราะจากคำให้สัมภาษณ์ เกมอาจไม่ได้มีเพียงการเล่าเรื่องราวต่อเนื่อง แต่สามารถแตกแขนงไปในหลายรูปแบบได้ เหมือนที่ซีรีส์เกมดัง ๆ เคยทำมาแล้ว วันนี้เราจะลองมาวิเคราะห์กันว่า หาก Clair Obscur มีผลงานต่อไป มันอาจถูกพัฒนาใน 5 แนวทางที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

1. สร้างภาคต่อ เล่าเรื่องเชื่อมต่อกันทันที (แบบ God of War 1-3)

แนวทางที่เป็นไปได้ง่ายที่สุดก็คือการทำ ภาคต่อโดยตรง ของ Expedition 33 เหมือนที่หลายเกมดังเคยทำ เช่น God of War ไตรภาค ที่เล่าเรื่องของ Kratos แบบต่อเนื่องไม่ขาดตอน สถานการณ์ของภาค 2 จะเริ่มต่อจากตอนจบของภาค 1 ทันที ทำให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันกับเส้นทางการเดินทางของตัวละคร และได้เห็นการเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน หาก Sandfall Interactive เลือกเส้นทางนี้ เกมถัดไปก็อาจจะเริ่มต่อทันทีจากตอนจบของ Expedition 33 โดยยังคงหยิบยกบรรยากาศและปมปริศนาที่ค้างคาไว้มาคลี่คลายต่อเนื่อง เป็นแนวทางที่ค่อนข้างปลอดภัยและแฟน ๆ น่าจะให้การตอบรับเป็นอย่างดีครับ

2. เล่าเรื่องเดิม แต่เปลี่ยนมุมมองผ่านตัวละครใหม่ (แบบ Resident Evil)

อีกแนวทางหนึ่งคือการหยิบ เหตุการณ์เดิมมาเล่าใหม่ ผ่านสายตาของตัวละครอื่น เหมือนที่ Resident Evil ทั้งซีรีส์ ทำให้เราเห็นทั้ง Leon และ Jill ในเหตุการณ์ Raccoon City จากมุมต่าง ๆ วิธีนี้จะช่วยขยายจักรวาลของ Clair Obscur ได้กว้างขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเล่าเพียงเส้นทางของตัวเอก Expedition 33 เพียงอย่างเดียว อาจมีตัวละครอื่นที่เดินทางบนเส้นเรื่องเดียวกัน หรือมีบทบาทสำคัญแต่ถูกเล่าผ่านอีกมุมมองหนึ่ง การทำแบบนี้จะช่วยให้แฟน ๆ เข้าใจโลกของ Clair Obscur ได้ลึกซึ้งขึ้น และเพิ่มมิติให้กับการตีความเนื้อเรื่องไปด้วยครับ

3. เล่าเรื่องเดิม แต่เปลี่ยนไทม์ไลน์ (แบบ Nier Series)

อีกความเป็นไปได้ที่น่าสนใจก็คือ การเล่นกับเส้นเวลา ซึ่งเกมอย่าง Nier เคยทำให้แฟน ๆ ประทับใจมาแล้ว การเล่าเรื่องเดิมในอีกไทม์ไลน์ อาจทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เช่น ภาคแรกอยู่ในอดีต ภาคต่อไปห่างกันเป็นพัน ๆ ปี แต่ยังเหลือผลกระทบเดิมจากภาคที่แล้วส่งมาถึงอนาคต เรื่องราวทั้งหมดจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน วิธีนี้ช่วยให้เกมยังคงใช้โครงสร้างหลักของ Expedition 33 แต่สามารถแตกแขนงไปได้หลากหลาย และสร้างความตื่นเต้นในการค้นหาความจริงของแฟรนไชส์ Clair Obscur ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยครับ

4. เอาเรื่องของแคนวาสอื่นมาเล่า (แบบ HoYoverse)

หนึ่งในเอกลักษณ์ของ Expedition 33 คือการเล่าเรื่องผ่านโลกที่เต็มไปด้วยความงดงามและบรรยากาศที่ชวนหลงใหล ซึ่งถ้า Sandfall Interactive เลือกแนวทางคล้าย HoYoverse ก็อาจนำเสนอ โลกอื่นหรือ “แคนวาส” ใหม่ ๆ ที่ยังคงอยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่มีเรื่องราว ตัวละคร และตำนานเป็นของตัวเอง วิธีนี้จะเปิดโอกาสให้ซีรีส์ Clair Obscur เติบโตแบบไร้ขอบเขต สร้างความแปลกใหม่ในแต่ละภาค และยังทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าแฟรนไชส์นี้มีจักรวาลที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยความลึกลับที่รอให้ค้นหาเต็มไปหมดครับ

5. รวมจุดเด่นของ Clair Obscur ไปแต่งเรื่องใหม่ (แบบ Final Fantasy)

สุดท้ายคือแนวทางที่ Guillaume Broche เคยบอกว่ามีแรงบันดาลใจมาจาก Final Fantasy ซึ่งก็คือการทำให้ แต่ละภาคมีเรื่องราวแยกกันโดยสิ้นเชิง แต่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแฟรนไชส์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นโทนบรรยากาศ ระบบการต่อสู้ พลังของจิตรกร พลังกอมมาจ สิ่งมีชีวิตอย่างเอสกี้ โมโนโค หรือเจสทรัล วิธีนี้จะทำให้ Clair Obscur กลายเป็นแฟรนไชส์ที่มีอิสระสูง และสามารถทดลองแนวทางใหม่ ๆ ได้เสมอ ผู้เล่นก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่สดใหม่ในทุกภาค แต่ยังคงรับรู้ได้ว่านี่คือเกมในตระกูล Clair Obscur ครับ

จากที่ผู้กำกับยืนยันว่า Clair Obscur: Expedition 33 ยังไม่ใช่จุดจบ ทำให้แฟน ๆ สามารถคาดหวังได้ว่าซีรีส์นี้จะยังคงถูกเล่าต่อไปในอนาคต และด้วยแรงบันดาลใจจากหลายเกมดัง ทำให้เราสามารถคาดเดาได้หลากหลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อโดยตรง การเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนไทม์ไลน์ ขยายโลกไปยังแคนวาสอื่น หรือแม้แต่สร้างเรื่องใหม่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ไม่ว่า Sandfall Interactive จะเลือกเส้นทางไหน สิ่งที่แน่นอนคือ แฟน ๆ กำลังจะได้เห็นการเดินทางครั้งใหม่ของแฟรนไชส์ Clair Obscur ที่น่าตื่นเต้นและคุ้มค่าการรอคอยอย่างแน่นอนครับ