รวม 12 รายชื่อเกมที่น่าผิดหวังแห่งปี 2024
แม้จะเป็นปีที่ตลาดวิดีโอเกมคึกคัก แต่หลายเกมก็มีข้อผิดพลาด

ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมเกมนั้นก็กลับมาคึกคักมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหลายต่อหลายเกมก็เป็นเกมที่ถูกใจผู้เล่นในแง่การออกแบบที่มอบประสบการณ์ที่พึงได้รับอย่างน่าชื่นชม กระนั้นแล้วไม่ใช่กับทุกเกมที่ไปถึงฝั่งฝัน โดยในปีนี้เองพวกเรา ThisIsGame Thailand ก็ได้คัดเลือก 12 เกมดังประจำปีที่ดันมีจุดน่าหงุดหงิดมาชี้ให้ดูกันว่าพวกเขามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง แต่จะเป็นอะไรบ้างนั้นขอเชิญติดตามได้เลย
- Star Wars: Outlaws

เริ่มต้นที่เกมแรกเลย แม้ว่าจะเป็นเกมจากค่าย Massive Entertainment ที่มีประวัติการทำเกมโอเพนเวิลด์คุณภาพยอดเยี่ยมมาก่อนหลายโปรเจ็กต์ แต่สำหรับ Star Wars ภาคนี้กลับมีข้อผิดพลาดในส่วนของการออกแบบเควสต์ที่ผู้เล่นกุมขมับกับความยากที่ไม่ควรจะยาก เช่นบังคับสเตลธ์ รวมไปถึงบั๊คที่ปรากฏออกมาเป็นระยะ กระนั้นก็ถือว่าโชคดีในระดับนึงที่ทีมงานพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก้ไขในแพตช์ใหม่ๆ ตลอดเวลาครับ
- Suicide Squad: Kill the Justice League

เกมที่มาพร้อมกับคอนเซปต์น่าสนใจมากนั่นคือการนำตัวละครวายร้ายมารับบทเป็นฮีโร่ แล้วให้แก๊ง Justice League มาเป็นตัวร้ายแทน อย่างไรก็ตามแม้จะมีไอเดียที่ดี แต่การถ่ายทอดกลับไม่น่าพิศมัยนัก นั่นคือการนำเสนอประสบการณ์แบบ Live Service แม้คอนเทนต์หลักจะฟรีทั้งหมด แต่ด้วยโครงสร้างที่ล้าสมัยก็ทำให้ผู้เล่นต่างเบะปากเป็นแถบ นอกจากนั้นในส่วนของดีเทลในโลกของเกมก็ยังตัดทอนลดลงไปมากจนถูกเปรียบเทียบกับเกมอื่นๆ ของ Rocksteady กันบ่อยๆ
- Alone in the Dark

การกลับมาของเกมสยองขวัญระดับตำนานผู้เป็นเหมือนกับแรงบันดาลใจแนว Survival Horror ยุคใหม่ แต่มีปัญหาตรงที่อนิเมชันของเกมที่ดูเก้ๆ กังๆ และยังสโลว์จนเกินเหตุ เพียงแค่รีโหลดก็ยังต้องใช้เวลานานจนเซ้ง ขณะเดียวกันองค์ประกอบเนื้อเรื่องเองก็อยู่ในขั้นที่เรียกว่าเละเทะ ขาดความสมเหตุสมผล แม้จะเป็นเกมรีบู๊ตก็ตาม ฟางเส้นสุดท้ายก็คือการออกแบบเกมให้ง่ายจนไม่มีแม้แต่ความท้าทาย จึงเป็นเหมือนการตบหน้าฉาดใหญ่ใส่ผู้เล่นที่รอคอยมานานนั่นเอง
- Unknown 9: Awakening

Unknown 9: Awakening อีกหนึ่งเกมที่เผชิญกับวิกฤต หลังจากเปิดตัวไปได้ไม่นานกลับได้รับกระแสตอบรับที่ไม่ค่อยดีนัก โดยมีผู้เล่นบน Steam เพียงแค่ต่ำกว่า 300 คน พร้อมกับรีวิวที่ส่วนใหญ่เป็นลบ แถมยังมียอดขายบน PS5 และ Xbox นั้นน่าตกใจยิ่งกว่า
จากข้อมูลที่พนักงานของ GameStop รายหนึ่งเปิดเผยออกมา พบว่าสาขาของ GameStop กว่า 2,900 แห่งทั่วประเทศ ไม่มีการสั่งจองเกม Unknown 9: Awakening เลยแม้แต่แผ่นเดียว ทั้งบน PS5 ที่มีวางจำหน่ายประมาณ 350 แผ่น และ Xbox Series ที่มีวางจำหน่ายประมาณ 150 แผ่น นอกจากนี้ ยอดขายดิจิทัลอีก 500 ชุดบนทั้งสองแพลตฟอร์มก็ไม่มีผู้สนใจซื้อเช่นกัน
- Foamstars

เกมแนวชูตติ้งรูปแบบแคชวลที่คาดว่า Sony และ Square Enix หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นเกมอีสปอร์ตของแพลตฟอร์มทำนองเดียวกับ Splatoon ทว่าก็มาพลาดกับโครงสร้างเกมรูปแบบ Live Service แม้จะเป็นเกมที่เสียเงินก็ตาม พอมาเจอ Microstransaction ยิบย่อยแบบนี้มันก็มีความนอยด์ทันที เวลาไม่นานเกมก็เสียฐานผู้เล่นไปมาก จนกระทั่งต้นเดือนตุลาคมนี้เองได้ปรับมาเป็นเกม Free-to-play ในที่สุด ซึ่งก็อาจจะดูสายเกินแก้
- Star Wars: Battlefront Classic Collection

เมื่อเป็นเกม Star Wars ภาคที่ผู้เล่นชื่นชอบมากที่สุดอย่าง Battlefront ที่ได้คิวรีมาสเตอร์ใหม่ แน่นอนว่าทุกคนต้องจับตามองเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เพราะ Aspyr ค่ายผู้พอร์ตกลับพลั้งพลาดในการดำเนินงานจนเกิดบั๊คมากมาย เช่นการรองรับหน้าจอ Ultrawide ที่กลับทำให้เกมแสดงผลออกมาผิดพลาด ปัญหาเซิร์ฟเวอร์ หรือการควบคุมปริมาณไฟล์เกมที่ทะลุ 40GB แบบงงๆ เพราะการบังคับติดตั้งไฟล์เท็กซ์เจอร์ที่ไม่บีบอัด ตอนนี้เซิร์ฟออนไลน์ของเกมก็เท่งทึงไปเรียบร้อย ผู้เล่นกลับบ้านเก่าไปเล่นภาคธรรมดาแบบ LAN เหมือนเดิมแทน
- Borderlands

มาถึงอันดับ 7 เราทราบดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากวิดีโอเกม แต่ความล้มเหลวของ “Borderlands” นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามได้ ตั้งแต่การคัดเลือกนักแสดงครั้งแรก แฟนๆ ดูเหมือนจะต่อต้านภาพยนตร์เรื่องนี้ การถ่ายทำใหม่และตัวอย่างภาพยนตร์ดูไม่ค่อยน่าพอใจ แต่แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ออกฉาย และความกลัวที่เลวร้ายที่สุดของทุกคนก็เป็นจริง เมื่อได้คะแนน 10% บนเว็บไซต์ RottenTomatoes หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแทบทุกแง่มุม
ภาพยนตร์ Borderlands ไม่เพียงแต่ประสบความล้มเหลวในการทำเงินเท่านั้น แต่ยังล้มเหลวอย่างยับเยิน โดยทำรายได้รวมทั่วโลกเพียง 30,900,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,045,037,743 บาท) ซึ่งน้อยกว่างบประมาณที่ใช้ในการสร้างและโปรโมทภาพยนตร์ถึง 150,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,072,998,755 บาท) คิดเป็นเพียง 20% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น นับเป็นการเริ่มต้นที่ไม่สวยงามของ Gearbox ในวงการภาพยนตร์
สิ่งที่น่าสังเกตคือ รายได้จากการฉายภาพยนตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศนั้นใกล้เคียงกันมาก โดยทำรายได้ประเทศละประมาณ 15,500,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 524,209,871 บาท)
- Skull and Bones

เกมล่องเรือโจรสลัดที่ทำการโปรโมตและพัฒนากันมานานมากแบบข้ามเจ็นจนกระทั่งเพิ่งได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามปัญหาของเกมคือการออกแบบเนื้อเรื่องที่น่าเบื่อและรูปแบบการดำเนินเกมที่เน้นฟาร์มในภารกิจอันแสนจืดชืด ต่อให้นำระบบยุทธนาวีจากเกม Assassin’s Creed ภาค Black Flag มาต่อยอดก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ เรียกว่าน่าเสียดายเวลาในการทำงานไม่น้อย
- XDefiant

อีกหนึ่งเกมฟรีจาก Ubisoft ที่ได้รับการเปิดตัวข้ามปีและเพิ่งมาให้บริการกันเร็วๆ นี้เอง ซึ่งเกมเองก็ผ่านการทดสอบมาหลายครั้ง แต่กลายเป็นว่าฟีดแบ็กของผู้เล่นนั้นอาจจะไม่ถึงหูของผู้พัฒนา ปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวที่ไม่รวดเร็วสมกับเกม FPS แบบเน้นแอ็กชันก็ทำให้ผู้เล่นอารมณ์เสียไม่น้อย นอกจากนั้นยังมีเรื่องการออกแบบตัวละครที่ไม่ดึงดูดพอ อีกทั้งระบบปลดล็อกที่เน้นการเสียเงินจนไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้รับ ก็ทำให้ผู้เล่นไม่พอใจด้วย ท้ายที่สุดก็บ๊ายบายกันแล้วกันในปีหน้า
- Until Dawn

การรีเมคของเกมสยองขวัญที่เคยฟาดรางวัลมากมายเมื่อหลายปีก่อน แต่กลายเป็นว่านี่คืออีกครั้งที่เกมเมอร์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘กลับไปเล่นของเดิมดีกว่า’ โดยแพตช์แรกๆ นั้นจะพบว่ามีปัญหาเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่น่าหงุดหงิดทีเดียว และเกมก็ยังจำกัดเฟรมเรตที่ 30FPS เพียงเท่านั้น (ทั้งที่เวอร์ชันต้นฉบับทำ 60FPS ได้แล้ว) ที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เกมเปลี่ยนเอฟเฟกต์สีการถ่ายทอดจากโทนหนาวเป็นโทนอุ่น ก็ทำให้ความน่ากลัวหายไปมากเลย เสียดายเทคโนโลยีรุ่นใหม่ชะมัด!
11. Dustborn

Dustborn เป็นหนึ่งเกมที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงในประเด็น DEI หรือการชูโรงเรื่องความหลากหลาย ประเด็นมันเกิดจากการที่เกมนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากภาครัฐในการผลิตเกม มันทำให้เกมนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลักการอะไรบางอย่าง ไม่ได้สร้างจากการอยากทำให้เกมมันสนุก โดยเกมนี้จะมุ่งเน้นประเด็นไปที่เรื่อง “ความเห็นอกเห็นใจ” และ “พลังของคำพูด” โดยตัวละครในเกมจะสามารถปล่อยพลังได้ผ่าน Wording ที่พูดออกไป เพื่อสะท้อนความรุนแรงที่เกิดจากคำพูดได้ว่า คำพูดคำหนึ่งสามารถโจมตีและทำร้ายผู้คนได้มากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นตัวเกมกลับมีเนื้อหาเกี่ยวกับการหลอกลวงและการบูลลี่ จึงทำให้ถูกผู้เล่นจับผิดจำนวนมาก และหลังจากเกมวางจำหน่าย ผู้พัฒนาเองก็ลอยแพเกมของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่สนแม้แต่กำไร ชาวเน็ตเลยได้วิจารณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า เพราะเกมนี้ได้เงินจากภาครัฐไปแล้วก็เลยไม่จำเป็นต้องสนเรื่องกำไรอีก มัน Spicy จริง ๆ
- Concord

ปิดท้ายด้วยตำนานที่อยากลืมของ Sony กับเกมออนไลน์ที่เปิดให้บริการเพียงสองอาทิตย์ก่อนม้วนเสื่อกลับบ้าน และโชคร้ายยิ่งกว่านั้นคือผู้พัฒนาก็เลย์ออฟกันยกแผงเลย โดยเกมนี้เป็นผลงานของ Firewalk Studios ที่ทำเกม VR Shooting มาก่อนแล้ว และต้องยอมรับว่า Ouch Factor ของเกมทำได้ดีมากๆ กระนั้นการออกแบบของตัวละครนั้นดูจะน่าผิดหวังไม่น้อย รวมไปถึงทัศนศิลป์โดยรวมที่ให้โลกของเกมมีสีตุ่นๆ แบบไม่น่าอภิรมย์นัก ว่าแล้วก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทีมพัฒนาในการเรียนรู้ความผิดพลาดเพื่อทำเกมใหม่ที่สนุกและซิงโครไนซ์กับผู้เล่นมากขึ้น