10 วีรกรรมสำคัญของ ‘เฮียแว่นดำ’ Itagaki Tomonobu ที่เกมเมอร์ลืมไม่ลง
ทุกการกระทำที่แฟนเกมยังคงจดจำ และอาจสร้างแรงบันดาลใจ

หนึ่งสัปดาห์หลังจากการจากไปอย่างกระทันหันของคุณ Itagaki Tomonobu อดีตผู้พัฒนาเกมคนสำคัญของค่ายเจ้าพ่อแอ็กชันอย่าง KOEI Tecmo ยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้แฟนเกมต่างโศกเศร้าด้วยการจากไปเพียงแค่วัย 58 ปี อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับไปหวนนึกถึงเรื่องราวและวีรกรรมไปจนถึงการสร้างแรงบันดาลใจ (สไตล์ดิบๆ) ที่ผ่านมา ThisIsGame Thailand ก็อดไม่ได้ที่จะขอนำเหตุการณ์เหล่านี้มาแบ่งปันเพื่อนๆ ด้วยกันครับ
- รีวิว Tekken ด้วยคำสั้นๆ ว่า ‘เกลียด’

เปิดหัวข้อแรกกันด้วยหนึ่งในเหตุการณ์ที่จุดไฟปะทุความมาคุอันแอบกัดกินใจของ Katsuhiro Harada โปรดิวเซอร์กันหลายปีจนได้เคลียร์ใจกันในเวลาต่อมา เมื่อเจ้าตัวได้รับหน้าที่ในการจัดชาร์ตอันดับ 5 เกมที่เกลียดที่สุดของเขาบนเว็บไซต์เกมต่างประเทศ 1UP ก็คือ Tekken 1 – 5 พร้อมกับรีวิวทั้งสี่เกมแรกว่า ‘เกลียด’ สั้นๆ คำเดียว ก่อนจัดเต็มกับภาคห้าว่าไม่รู้ว่าจะทำเลขต่อทำไม และยิ่งพูดถึงเกมนี้ก็ยิ่งหงุดหงิด!
- เทสต์เกมครั้งแรกแล้วผู้ทดสอบบอกว่ายากเกิน… เลยปรับให้ยากขึ้นอีก

Ninja Gaiden ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในรูปแบบสามมิติเป็นครั้งแรกให้เครื่องเล่น Xbox โดยเป็นเกมเอ็กคลูซีฟเช่นเดียวกับผลงานมากมายของ KOEI Tecmo ในขณะนั้น แต่ระหว่างการทดสอบรอบ Playtest ภายใน ได้มีผู้เข้าร่วมบางส่วนที่มองว่าระบบการต่อสู้นั้นดี แต่ศัตรูที่ถาโถมเข้ามาทำให้เกมยากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่เขาทำก็คือ ‘เพิ่มดีกรีความโหดของ AI’ ให้ดุเดือดขึ้นไปอีกจนกลายเป็นเกมที่ท้าทายความสามารถผู้เล่นมากที่สุดเกมหนึ่ง
- Ninja Gaiden ภาคต้นฉบับที่ออกแบบฉากให้หาทางไปไม่เจอ เพราะนินจาต้องรู้จักปรับตัว
นอกจากเรื่องความดิบเถื่อนของศัตรูที่แทบจะทำให้ Ryu Hayabusa ตัวแตกสลายเป็นชิ้นๆ ด้วยคมมีดของคู่ต่อสู้แล้ว อีกหนึ่งความยากก็คือเรื่องการออกแบบฉากที่หลายคนอาจจะหาทางไปไม่เจอด้วยซ้ำ ครั้นจะเจอก็ถึงกับร้องยูเรก้าด้วยเส้นผมที่บังภูเขา ส่วนหนึ่งหลายคนตั้งข้อสันนิษฐานว่ามันอาจเป็นความตั้งใจของเขาที่อยากให้รู้จักความเป็นนินจาที่ต้องปรับตัว ภายหลังภาค Black และ Sigma ก็วางจำหนายพร้อมรีเวิร์กจนง่ายลงไปมากทีเดียว
- ความหลงใหลในเกมแอ็กชัน ต้องมีความสวยงาม มีพลัง และไม่น่าเบื่อ… กระทั่งถึงขั้นตำหนิ Metal Gear Solid 2
เจ้าตัวเป็นคนที่ชอบหนังแอ็กชันยุค 80 อยู่แล้ว ดังนั้นนอกจากการฟาดฟันที่รวดเร็วรุนแรงในเกม Dead or Alive นั้นเราจะเห็นถึงจุดเด่นอย่างตัวละครหญิงที่มีการแสดงความเป็นหญิงชัดเจนทั้งสัดส่วนและชุดวาบหวิวที่เผยให้เห็นถึงสัญลักษณ์ทางเพศมากมาย สิ่งนี้เป็นเพราะ Itagaki ต้องการให้ความสำคัญกับความสวยงาม และขณะเดียวกันสาวเจ้าเหล่านั้นก็พร้อมที่จะแลกหมัดหนักๆ กับคู่ต่อสู้ด้วยเช่นกัน ถ้าสังเกตดีๆ เขาเองก็ไม่ขัดเขินที่จะใช้สาวๆ พริตตี้ในอีเวนต์โฆษณาเกมด้วยเช่นกันครับ นี่มันวิธีโปรโมตแบบ Video Games / Movies Babes!

ความชอบเรื่องการทหารและหนังแอ็กชันเขาได้ส่งมอบมาสู่ตัวเกมหลายเกมต่อจากนั้น ทั้ง Ninja Gaiden ที่เป็นเกมนินจาต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่มีทั้งมอนสเตอร์และห่ากระสุนจากคนจริงๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ลังเลที่จะออกความเห็นต่อเกมดังจนเกิดคอนโทรเวอร์ซีเล็กๆ สำหรับเกม Final Fantasy X และ Metal Gear Solid 2 ว่าเป็นเกมที่ไม่มีการโต้ตอบกับผู้เล่นนัก แถมยังไม่โชว์นวัตกรรมเท่าไรด้วย! จะว่าไปแล้วอันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณแต่ละคน
- “ผมได้สนใจเรื่องความสมจริง เกมต้องน่าตื่นเต้น”

อีกเสน่ห์ที่ขาดไม่ได้ของ Dead or Alive ในยุคของ Itagaki คือเอฟเฟกต์ที่ตูมตามและฉากการเล่นที่พลิกแพลงไปมาได้ เช่นสนามแข่งขันที่มีระเบิดรอบข้าง ขั้นบันไดให้เราต่อสู้และเตะศัตรูให้ตกจากระเบียงได้ ชี้ให้เห็นถึงประโยคสำคัญที่เขาไม่ได้คิดเรื่องความสมจริง แต่อยากให้การต่อสู้ในเกมนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ซึ่งหลังจากส่งไม้ต่อสู่ผู้พัฒนาคนอื่น ก็จะพบว่าดีกรีเรื่องฉากนั้นถูกลดลงไปมากเลยครับ
- ทฤษฎีที่แฟนเกมเคยตั้ง… ใส่ตัวละครในฉากเยอะๆ เพื่อให้เฟรมเรตตกจนเป็นการจำลองภาพสโลว์

Ninja Gaiden 2 หนึ่งในเกมท้ายๆ ยุคของ KOEI Tecmo ที่เขาทำงานนั้นจะมีฉากหนึ่งที่แฟนเกมตั้งทฤษฎีว่าอาจนำมาจากไอเดียสมัยอาร์เคดที่เขาเคยทำงานมาก็คือการที่ฉากต่อสู้บนบันไดทางยาวมีศัตรูจำนวนมาก ทำให้เกมประมวลผลได้ช้าลงจนเฟรมเรตตก และสร้างภาพสโลว์โมชันแบบจำลองขึ้นมา ข้อนี้ถึงแม้ Itagaki จะไม่ได้ออกมาคอนเฟิร์มแต่ผู้เล่นก็พร้อมจะเชื่อแบบไม่มีข้อสงสัย
- คอนเนคชันที่มีประโยชน์ เพราะ Dead or Alive บน Xbox รุ่นแรกที่ยังสวยงามแม้ผ่านมา 25 ปี

Dead or Alive 3, Dead or Alive 2 Ultimate และ Ninja Gaiden 2004 รวมไปถึงภาค Black นั้นถือเป็นเกมที่คลาสสิกเหนือกาลเวลามากๆ และว่าด้วยกราฟิกเองก็ยังคงเรียกได้ว่ามสวยงามไม่ตกยุคเลยครับ ซึ่งใครเล่าจะรู้ว่าความจริงแล้วเฮียแว่นดำของเรานั้นก็มีความใกล้ชิดกับทีมงานของ Xbox ในฝ่ายวิศวกรระบบมากๆ นั่นทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจเครื่องเกมได้ยอดเยี่ยมจนออกแบบเกมตามสเปคไม่ขาดตกบกพร่อง หลายเกมดูแล้วบอกว่าเป็นเกมจากเครื่อง Xbox 360 ก็ไม่เกินจริง!
- แม้เกมของตัวเองที่ส่งไม้ต่อให้ผู้อื่นจะเฟล แต่ก็ยังคงเป็นห่วงเสมอ

นับตั้งแต่ Dead or Alive 5 เป็นต้นมา เราจะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องกราฟิกและแนวทางการออกแบบ ซึ่งความเซ็กซี่ในภาคดังกล่าวก็ยังมีเหมือนเดิม แต่ความหลากหลายของฉาก ก็ลดทอนไปมาก กระทั่งภาคที่หกที่โดนสับกันเละว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ กระนั้นแล้ว Tomonobu Itagaki ก็ให้กำลังใจผู้กำกับใหม่และคาดหวังว่าในเกมภาคต่อไปจะสามารถกลับมาได้ แม้ออกจากค่ายมาแล้ว แต่เพราะเกมนี้เป็นเหมือนลูกในอกน่ะเนอะ!
- Devil’s Third ผลงานสุดท้ายบน Wii U
หลังจากแยกตัวออกมาจาก KOEI Tecmo แล้ว ผลงานแรกและผลงานเดียวที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับคือ Devil’s Third เกมแนวแอ็กชันสุดโหดเน้นการยิงปืนบนเครื่องเล่น Wii U ซึ่งเกมวางจำหน่ายและได้เสียงตอบรับในแง่บวกจากฝั่งญี่ปุ่นค่อนข้างมากทีเดียว แถมยังมีเวอร์ชัน PC ตามมาแบบเอ็กคลูซีฟในแดนปลาดิบเท่านั้น ทั้งนี้แนวคิดของเกมกลับไม่ถูกใจแฟนฝั่งสหรัฐอเมริกานัก โดยสำนักข่าวของญี่ปุ่นอย่าง Famitsu ได้ให้คะแนนระดับดีที่ 33/40 ส่วน IGN และ GameSpot ก็อยู่ระดับไล่เลี่ยกันที่ราว 3-3.5/10
เรื่องราวของเกมดุเดือดด้วยธีมไซไฟผสมผสานแอ็กชันทหาร และมีตัวเอกที่ออกแบบมาอย่างดุดันคือชาวหัวโล้นที่สักเต็มร่างกาย และตัวละครสาวเน้นเซ็กซี่ให้ชมเพลินเลย ซึ่งท้ายที่สุด ถึงจะเป็นโปรเจ็กต์ที่มีโอกาสควบคุมงานมากขึ้น Devil’s Third กลับเป็นผลงานสุดท้ายของเขาภายใต้ค่ายอื่น แม้ Itagaki จะออกมาตั้งบริษัทของตนเองในภายหลัง ทว่าก็มีเกมออกมาจำหน่ายเป็นจำนวน 0 เกมถ้วน น่าเสียดายไม่น้อยที่เขาไม่อาจจะทำเกมในแบบที่ตัวเองต้องการได้ตามที่วาดฝันเอาไว้

- สงครามสุดมาคุกับฮาราดะที่จบลงด้วยรอยยิ้ม
ท้ายที่สุด ช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้มีข้อความจาก Katsuhiro Harada ที่ออกมาให้ความเห็นถึงบรรยากาศชวนอึดอัดของตนกับ Tomonobu Itagaki ในอดีตด้วย เรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่ยุค 90 จนกระทั่งเฮียแว่นดำรู้ว่าเขาคือรุ่นน้องที่โรงเรียน ก็เริ่มใช้ภาษาที่รุนแรงโผงผาง กินเวลานานจนถึงวันที่เจ้าตัวออกจาก KOEI Tecmo และชวนไปกินเหล้ากันแบบไม่น่าเชื่อเพราะ Harada เองก็คิดว่าโดนเกลียดและปักธงแดงมาตลอด จนรู้ว่าความตั้งใจนั้นเป็นเพราะเฮียแว่นดำแกเอ็นดูเป็นน้อง เลยมีกริยาแบบนั้นออกไปเพราะอยากให้สนิทสนมกันมากขึ้นนั่นเอง หยอกกันแบบนี้ก็แอบเสียวสันหลังวาบเหมือนกัน
เรียกได้ว่าทุกข้อล้วนแสดงให้เห็นถึงความเป็น Tomonobu Itagaki ที่เป็นซิกเนเจอร์ของตัวของเขาเองเป็นอย่างดี ทั้งความโผงผางบ้าเลือด และตรงไปตรงมา แต่กับเรื่องการเอาใจแฟนเกมนั้น ต้องยกนิ้วให้ว่าเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับเพื่อนๆ จดจำเขาในฐานะอะไรบ้าง ว่าแล้วอย่าลืมมาแบ่งปันกัน ส่วนโอกาสหน้าจะมีอะไรมาพูดคุยกันอีกขอเชิญติดตามที่นี่เช่นเคยครับผม







