ช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 การที่ Microsoft จะทุ่มซื้อสตูดิโอเกมหลายแห่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และถูกใจแฟนๆ ทั่วโลกอย่างมาก เพราะ Xbox มุ่งมั่นที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ที่จะมอบทรัพยากรและเวลาที่ไม่จำกัดให้กับนักพัฒนาที่เรารู้จักและชื่นชอบ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกที่พวกเขามีศักยภาพที่จะทำได้
Embracer Group และ Sony ก็ทำตามด้วยการซื้อสตูดิโอจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน พร้อมกับสัญญาว่าพวกเขาจะไม่เพียงแต่มีความมั่นคง แต่ยังมีโอกาสมากกว่าที่เคย แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก เราได้เห็นสตูดิโอปิดตัว การเลิกจ้างจำนวนมาก และโครงการที่ถูกยกเลิกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเฟื่องฟูในช่วงการระบาดไม่ได้นำไปสู่อะไรเลย และตอนนี้ผู้ที่อยู่เบื้องล่างต้องได้รับผลกระทบ แต่ถึงกระนั้น ข่าวลือเรื่องการซื้อกิจการก็ยังมีอยู่มากมาย รวมถึงข่าวที่ไร้สาระอย่าง Microsoft พยายามซื้อกิจการของ Valve
แน่นอนว่า Microsoft จะไม่มีวันซื้อกิจการของ Valve
ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากข่าวลือที่อ้างว่ามีการเสนอเงินสดกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับบริษัทอย่าง Valve เลยและฟังดูเหมือนเป็นฉากในหนัง Batman มากกว่าความเป็นจริง Valve ยังเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ได้ซื้อขายในตลาดสาธารณะใดๆ ไม่มีผู้ถือหุ้นที่ต้องเอาใจนอกเหนือจาก Gabe Newell พวกเขาไม่ได้แสวงหากำไรมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พนักงานของพวกเขาเสียหาย แต่ให้พวกเขามีอิสระและเวลาในการทำงานในโครงการใดก็ตามที่พวกเขาสนใจ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราแทบจะไม่ได้เห็นเกม Valve ในทุกวันนี้ เพราะ Steam ทำเงินได้มหาศาล และ Valve อยากใช้เวลาไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น Steam Deck และ Valve Index มากกว่าการทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์ไปกับเกม AAA ใหม่ๆ แม้ว่า Half-Life: Alyx และข่าวหลุดของเกมยิงฮีโร่ที่กำลังจะมาถึง อาจจะเป็นสัญญาณถึงความเปลี่ยนแปลงก็ตาม
เช่นเดียวกับ Nintendo, Valve ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพียงแค่ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด บางครั้งกลยุทธ์นี้ก็ไม่ได้ผล เช่น กับ Wii U หรือ Steam Machines ในขณะที่บางครั้งก็ทำให้ทั้งสองบริษัทครองโลกในแต่ละด้านของตนเอง เช่น Nintendo Switch หรือ Steam Deck ทั้งสองเครื่องขายได้หลายล้านเครื่องและนำเสนอวิธีการเล่นเกมใหม่ที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่อยู่รอบตัว แน่นอนว่า Nintendo มีผู้ถือหุ้นที่ต้องเอาใจ แต่ก็มีแบรนด์และตัวละครที่โดดเด่นมากมายภายใต้การดูแลของบริษัท จนไม่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของผู้ถือหุ้นไปซะทุกเรื่อง
แต่สาเหตุละ? มันก็ดูเป็นเรื่องที่ฟังดูดีนี่นา
เมื่อข่าวลือนี้ปรากฏขึ้นและแพร่ระบาดในช่วงต้นสัปดาห์ ทุกคนแสดงความกังวลว่า Microsoft จะผูกขาดตลาด PC ในไม่ช้า หากข้อตกลงเช่นนี้เกิดขึ้นจริง Microsoft จะเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มร้านค้าของทั้ง Blizzard, Windows และ Valve ซึ่งอย่างที่เราได้เรียนรู้จากการซื้อกิจการครั้งก่อนๆ นี่เป็นเพียงสูตรสำเร็จสู่หายนะ การรวมตลาดจะขัดขวางการแข่งขันและกีดกันนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ไม่ต้องพูดถึงความล้มเหลวครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวก็สามารถจมเรือที่มีพนักงานหลายพันคนได้
เราเห็นสิ่งนี้กับ Tango Gameworks และ Arkane Austin สองสตูดิโอที่เป็นที่รัก ซึ่งถูกปิดตัวลง ไม่ใช่เพราะพวกเขาล้มเหลวในการมอบเกมที่ยอดเยี่ยมหรือทำกำไร แต่เพราะพวกเขาบังเอิญอยู่ภายใต้บริษัท Microsoft ที่กำลังต้องการประหยัดเงิน และแสดงตัวเลขผลประกอบการที่ดูดีขึ้นเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ Valve จะได้อะไร? บริษัทกำลังเติบโตด้วยตัวของมันเอง และเสรีภาพที่ได้รับจากการไม่มีนักลงทุนทำให้ Valve สามารถรักษาเอกลักษณ์ของตนเองไว้ได้ ในขณะเดียวกัน Microsoft เลือกที่จะเริ่มวางจำหน่ายเกม Exclusive ของตนเองบน Steam เพราะหวังว่าจะเพิ่มยอดขายที่ Xbox Game Pass ดึงไป ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่ Microsoft ต้องการ แต่ไม่ใช่กับ Valve
หลังจากซื้อ Bethesda และ Activision Blizzard ผมเองก็เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ แต่เห็นได้ชัดว่า Valve แตกต่างออกไป หน่วยงานกำกับดูแลการค้าอาจปฏิเสธข้อเสนอการซื้อกิจการเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากปัญหาที่ Xbox พยายามซื้อ Activision Blizzard ซึ่งยืดเยื้อมานานมาก จนแทบจะลืมไปแล้วว่าสรุปมันสำเร็จหรือไม่
แน่นอนว่า Microsoft จะไม่ซื้อ Valve และแม้ว่าจะพยายามทำมัน ผมก็ไม่แน่ใจว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสำเร็จได้ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งทางเศรษฐกิจและในทางปฏิบัติ ที่ทำให้ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ ดังนั้นอย่ากังวลไป หรือคาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นเลย แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ผมคงเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่จะกรีดร้องกับเรื่องนี้
