อดีตผู้บริหาร Square Enix เผยสาเหตุที่ยอดขาย Final Fantasy ไม่เป็นไปตามคาด

Jacob Navok อดีตผู้บริหารของ Square Enix ได้ออกมาแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับยอดขายเกม Final Fantasy สองภาคล่าสุดที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ พร้อมทั้งพยายามอธิบายว่าทำไมหลายคนถึงเข้าใจผิดว่าทางค่ายเกมญี่ปุ่นตั้งเป้ายอดขายที่ไม่สมจริงสำหรับผลิตภัณฑ์ของต

ไม่นานหลังจากการเปิดเผยรายงานทางการเงินประจำปี Takashi Kiryu ประธานของ Square Enix ได้กล่าวกับนักวิเคราะห์ในระหว่างการประชุมว่าผลประกอบการของเกมสำคัญสามเกมล่าสุดของบริษัท ได้แก่ Final Fantasy XVI, Foamstars และ Final Fantasy VII Rebirth ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของบริษัท

เขาไม่ได้เปิดเผยหรืออัปเดตตัวเลขยอดขายของเกมใดๆ เพียงแต่กล่าวว่า FFXVI สามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายใน 18 เดือน

คำกล่าวเหล่านี้จุดประกายการถกเถียงที่ยาวนานว่าบริษัทเกมจากญี่ปุ่นอาจตั้งเป้ายอดขายที่สูงเกินจริงสำหรับเกมของตน อย่างไรก็ตาม Jacob Navok ซีอีโอของ Genvid Technologies และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Square Enix ได้พยายามแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ในกระทู้บน X ของเขา

“สิ่งนี้ไม่เป็นความจริงเมื่อตอนที่ผมอยู่ที่นั่นและไม่น่าจะเป็นความจริงในปัจจุบัน” เขากล่าว “ความคาดหวังด้านยอดขายโดยทั่วไปมาจากความจำเป็นในการครอบคลุมต้นทุนการพัฒนาบวกกับผลตอบแทนจากการลงทุน”

There's a misunderstanding that has been repeated for nearly a decade and a half that Square Enix sets arbitrarily high sales requirements then gets upset when its arbitrarily high sales requirements fail to be met.

This was not true when I was there and is unlikely to be true…

— Jacob Navok (@JNavok) May 23, 2024

Navok ตั้งข้อสังเกตว่าหากเกมมีต้นทุนในการสร้าง 100 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 5 ปี เกมนั้นจะต้องทำกำไรให้มากกว่าที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกันในช่วงเวลาเดียวกัน “ในช่วง 5 ปีก่อนเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ตลาดหุ้นมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 14.5% การลงทุน 100 ล้านดอลลาร์ในตลาดหุ้นจะทำให้คุณได้ผลตอบแทนสุทธิ 201 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นนี่จึงเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ROI ของเรา” เขาอธิบาย

นอกเหนือจากงบประมาณการผลิตแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม และปัจจัยอื่นๆ เช่น ส่วนลดที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย

“สมมติว่าค่าใช้จ่ายทางการตลาดอยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์ และสมมติว่าคุณจะไม่ได้รับเงิน 49 ดอลลาร์ (หลังจากหักค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม 30%) แต่จะได้ค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับ 40 ดอลลาร์เนื่องจากส่วนลด การคืนเงิน และปัจจัยอื่นๆ” Novak ตั้งข้อสังเกต “ทีนี้ สมมติว่าในเดือนแรกคุณขายได้ 3 ล้านชุด โดยได้รับเงินสุทธิ 40 ดอลลาร์ (เราจะไม่สนใจเรื่องการคืนทุน) คุณต้องทำเงินให้ได้มากกว่า 254 ล้านดอลลาร์จึงจะทำตามความคาดหวังได้ (นั่นคือ 100 ล้านดอลลาร์ + 101 ล้านดอลลาร์ใน ROI พื้นฐาน + 50 ล้านดอลลาร์ในการตลาด)”

จากยอดขาย FFXVI ที่ 3 ล้านชุด (ตัวเลขล่าสุดที่เปิดเผยโดย Square Enix) บริษัทจะทำเงินได้เพียงประมาณ 120 ล้านดอลลาร์จากการประมาณคร่าวๆ ซึ่งในความเป็นจริง งบประมาณของเกม AAA แบบนี้น่าจะสูงกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าความคาดหวังของ Square Enix นั้นไม่สมจริง เพียงแค่เกมเหล่านี้ขายได้ไม่ดีพอสำหรับจำนวนเงินที่ใช้ในการผลิตและการตลาด

Novak เสริมว่า “แก่นแท้ของปัญหาคือการตั้งงบประมาณในช่วงเวลาที่คาดหวังว่าผู้เล่นจะเติบโต” การตัดสินใจสำหรับซีรีส์ FFVII Remake เกิดขึ้น “ภายใต้กรอบของปี 2015-2022” เมื่ออุตสาหกรรมเกมเติบโตอย่างรวดเร็วทุกปี (ไม่ต้องพูดถึงรายได้และจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการระบาดใหญ่)

ในยุคที่ Novak เรียกว่า “ยุคก่อน Fortnite” ซึ่งเป็นยุคก่อนที่เกมแนว free-to-play ข้ามแพลตฟอร์มจะโด่งดังนั้น Square Enix และผู้จัดจำหน่ายรายอื่นๆ สามารถดูคู่แข่งและเลือกวันวางจำหน่ายที่เหมาะสมได้ มันง่ายกว่าในการประมาณค่าใช้จ่ายของเกมเมอร์ที่จะจ่ายให้กับเกม AAA ในแต่ละช่วงเวลาที่เกมวางขาย แต่ตอนนี้เกม Single-player ที่ใช้งบประมาณสูงยังต้องแข่งขันกับเกม free-to-play Live Service หลายเกม เช่น Fortine, Call of Duty: Warzone เป็นต้น

“การที่ Fortnite เข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงในปี 2015 เมื่อมีการวางแผนงบประมาณ” Novak กล่าว

ดังนั้น บริษัทเกมจึงมีหลายวิธีในการเพิ่ม ROI สำหรับผลิตภัณฑ์ของตนเช่น ลดต้นทุน เพิ่มราคา หรือเพิ่มขนาดกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากเกม Single-player เพิ่มจำนวนผู้เล่นได้ยากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง Novak เชื่อว่าผู้จัดจำหน่ายจะยังคงเรียกเก็บเงินสำหรับเกมของตนในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งราคาพื้นฐานใหม่ที่ 70 ดอลลาร์ดูเหมือนจะมากเกินไปสำหรับลูกค้าหลายราย ดังนั้นบริษัทต่างๆ จึงพยายามคิดค้นวิธีการสร้างรายได้ที่หลากหลาย รวมถึงการวางจำหน่ายเกมในหลายเวอร์ชั่น เช่น Deluxe Edition ที่มีราคา 100 ดอลลาร์หรือสูงกว่า

Novak ยังอ้างถึงวิธีอื่นที่ไม่ค่อยสมจริงว่า “หากผู้จัดจำหน่ายสามารถดึงรายได้จากแพลตฟอร์มมาได้มากขึ้น พวกเขาก็จะสามารถปรับขึ้นราคาได้ในระดับปานกลาง ในขณะที่ยังคงได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาจะได้รับส่วนแบ่ง 50 หรือ 55 ดอลลาร์จาก 70 ดอลลาร์”

ในสภาพแวดล้อมใหม่นี้ การที่ผู้จัดจำหน่ายเปิดตัวเกมของตนแบบ Exclusive บนแพลตฟอร์มเดียวนั้นไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ Square Enix เพิ่งประกาศแผนการที่จะ “ดำเนินกลยุทธ์แบบ Multiplatform อย่างจริงจัง” โดยการเปิดตัวเกม AAA บน PC, PlayStation, Xbox และ Nintendo Switch นั่นเพราะข้อตกลง Exclusive ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียยอดขายด้วยการจำกัดเกมของคุณไว้บนคอนโซลเดียวอีกต่อไป