[รีวิว] Mario Kart 8 Deluxe: Booster Course Pass ชุดสุดคุ้มเกมโกคาร์ทยอดฮิต
จัดเต็มทั้งสนามใหม่ ตัวละครใหม่ และฟีเจอร์เพิ่มเติม
เปิดให้เล่นกันเรียบร้อยแล้วครับสำหรับ DLC เสริมชุดสุดท้ายของ Mario Kart 8 Deluxe: Booster Course Pass ที่ปิดฉากเกมได้อย่างสวยงาม ทว่าหลายคนคงสงสัยใช่ไหมครับว่าระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาที่พวกเราได้ตั้งหน้าตั้งตาคอยฉากการเล่นใหม่กันตลอดนี้จะมีความแตกต่างอะไรกันบ้างในทุกๆ Wave และ ThisIsGame Thailand ก็ไม่พลาดครับที่จะขอพาทุกท่านไปรีวิวแบบ ‘รีเทิร์น’ กลับไปย้อนดูความสนุกที่ผ่านมาด้วย แต่จะเป็นอย่างไรบ้างเชิญติดตามได้เลย Here we go!
【จาก DLC ที่โดนปรามาสสู่การต่อชีวิต】
แม้แต่ผู้รีวิวก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่า Booster Course Pass จะสามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นได้เพราะใน Wave 1 ต้องยอมรับจริงๆ ครับว่า DLC นี้โดนใส่กันยับเยินในเรื่องของกราฟิกและความทื่อของฉากที่ดูเหมือนจะไม่มีฟังก์ชันอะไรกันเลยเพราะตัวโมเดลทั้งหมดล้วนถูกนำมาจากภาค Tour บนมือถือจริงๆ อย่างไรก็ตาม Nintendo ได้รับฟังเสียงของผู้เล่นและทำการแก้ไขกันตั้งแต่ช่วง Wave 2 เมื่อกลางปี 2022 เป็นต้นมา และดูเหมือนจะท็อปฟอร์มมากยิ่งขึ้นในทุกๆ การปล่อยคอนเทนต์
ณ ตอนนี้ Booster Course Pass ก็กลายเป็นสิ่งที่แฟนเกมให้ความสนใจและตื่นเต้นทุกครั้งที่มีการประกาศความคืบหน้าใหม่ๆ จนถึงวันที่ Wave สุดท้ายได้ปล่อยออกมาราวกับเป็นการปิดฉากเกมภาคนี้โดยสมบูรณ์ ทุกคนก็ยิ้มรับและขอบคุณที่ Nintendo ได้ให้การใส่ใจจนบางทีเราก็ยังแอบคิดครับว่าคงจะเหงาไม่น้อยที่การลุ้น 8 สนามแข่งใหม่ในทุกๆ 3 เดือนได้จบลงแล้ว ทั้งนี้ด้วยปริมาณที่เพิ่มเข้ามา ก็การันตีได้ว่า Mario Kart 8 Deluxe เป็นเหมือนกับเกมโกคาร์ทที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดที่ไม่สามารถมีเกมไหนโค่นได้เร็วๆ นี้
【ไลน์อัปสุดคุ้มค่า ด่านฮิตมากันเกือบหมด】
จากวันแรกที่พวกเราได้รีวิว Wave 1 กัน ตอนนี้ Booster Course Pass ได้นำเสนอฉากครบทั้ง 48 ฉากแล้วครับ ซึ่งหลังจาก Wave 2 เป็นต้นมา สังเกตได้ว่าฉากยอดฮิตจะถูกใส่มาเพิ่มทีละ 2 ฉากอย่างน้อยแน่ๆ เริ่มจาก Mushroom Gorge และ Waluigi Pinball โดยด่านแรกแม้ว่าจะเป็นเวอร์ชัน Tour ที่มีการปรับเปลี่ยนสเกลฉาก แต่ก็ได้เพิ่มฟังก์ชันจากภาค Wii กลับเข้ามานั่นคือเห็ดที่จะเด้งไปทางลัด และ Waluigi Pinball ยังคงมีเสียงเอฟเฟกต์ที่ใช้เฉพาะด่านเหมือนเดิม ถัดมาที่ Wave 3 ก็จะเป็น Maple Treeway ที่สังเกตว่าเปลี่ยนฟีลให้มีความเขียวขึ้นมาในบางจุดจากที่ภาคต้นฉบับนั้นส้มแสบตาเลย ส่วน Rock Rock Mountain ก็เพิ่มไฮไลต์ใหม่เป็นฟังก์ชัน Anti-gravity แล้ว (ในที่สุด!)
เมื่อมาถึง Wave 4 ที่ปล่อยให้เล่นช่วงต้นปีก็มีการเพิ่มฉากใหม่แกะกล่องที่หลายคนให้ความสนใจเข้ามาด้วยนั่นคือ Yoshi’s Island โดยฉากนี้เป็นการนำธีมเกม Yoshi เข้ามาไว้ในจักรวาล Mario เป็นครั้งแรก และใส่จิงเกิ้ลเพลงจากเกมของตัวเองเข้ามาแบบเซอร์ไพรส์ และอีกฉากเป็น Squeaky Clean Sprint ถ้าให้เปรียบก็จะเหมือนกับ Ribbon Road ในภาคหลัก เพราะลูกเล่นใส่เข้ามาเยอะมาก (เดี๋ยวจะไปเล่าต่อ) ส่วน Wave 6 มีฉากจากซูเปอร์แฟมิคอมตบท้ายคือ Bowser’s Castle ที่เหนือความคาดหมายสุดๆ เพราะจากฉากที่แบนเรียบ 16-bit ได้อัปเกรดมาเป็นปราสาทกลขนาดมหึมาและใส่ Anti-gravity มาด้วยราวกับรู้ว่าแฟนเกมต้องการ
พูดถึงฉากจาก Mario Kart Tour แล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือฉาก City Course หรือสนามแข่งขันที่ออกแบบด้วยเมืองจริงในโลก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีครับว่าประเทศไทยบ้านเราก็มีฉาก Bangkok Rush เข้ามานั่นเอง โดยฉากเมืองของทุกประเทศ จะเป็นสนามแข่งแบบเปลี่ยนแลปเนื่องจากเกมต้นแบบอย่างภาค Tour จะแบ่งเป็นโซนๆ แต่พอมาดัดแปลงเป็นภาคคอนโซลแล้วทุกโซนได้รวมกันและจะมีลูกศรโฮโลแกรมลอยมาบอกทางเราให้
【สนามแข่งขันที่มีลูกเล่นมากขึ้น】
หากทุกคนจำกันได้ ผู้รีวิวเคยมองว่า Booster Course Pass เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใส่ลูกเล่นสนามแปลกๆ มาโดยเฉพาะระบบต้านแรงโน้มถ่วงหรือ Anti-gravity ซึ่งตอนนี้ก็ใส่มาให้แล้วอย่างที่กล่าวข้างตน และเริ่มใส่เข้ามามากขึ้นตั้งแต่ Wave 3 (นำร่องโดย Wave 2 ที่มีแค่ฉากเดียว) ซึ่งต้องชื่นชม Nintendo ที่สามารถดัดแปลงจุดต่างๆ ของเส้นทางที่เปลี่ยนโหมดล้อได้เหมาะสม เช่น 3DS Rainbow Road ก็จะใส่บริเวณบนดวงจันทร์เลย แถมยังปรับฟิสิกส์ให้ตัวละครเราลอยง่ายกว่าปกติ และ Koopa Cape อีกหนึ่งฉากฮิต ได้เพิ่มโซน Anti-gravity ในช่วงกลางฉากที่อยู่ใต้น้ำ เรียกได้ว่าชนกันมันส์เลย
ลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามาหรือต้องเรียกว่านำกลับอีกอย่างหนึ่งคือ Half-pipe โดยจะเป็นเนินโค้งให้เราขึ้นไปทำ Trick และรับบูสต์ความเร็วได้ ฟีเจอร์นี้โดยปกติอยู่ในภาค Wii และถูกตัดออกไปตั้งแต่ภาค 7 ก่อนจะเริ่มกลับมาใน DLC นี้ ถือว่าหายไปจากเกมถึง 15 ปีเลยครับ นอกจากนี้ก็จะมีอุปสรรคชนิดใหม่คือ Wiggler หรือเจ้าหนอนหน้าแป้นสีเหลืองที่อยู่ในบางฉากเช่น Maple Treeway หรือ Madrid Drive (ใช่ครับ ฉากเมืองเองก็มีไฮไลต์เป็นเหล่าศัตรูจากเกมมาริโอ้มาคอยแกล้งเราตามทาง) อีกหนึ่งอย่างก็จะเป็นรถระเบิดที่อยู่ในฉาก Moonview Highway อันนี้ถ้าพุ่งไปโดนก็จะระเบิดง่ายๆ เลย (ฮา)
อย่างไรก็ตามครับสิ่งที่เป็นอุปสรรคก็คือด้วยความที่ระบบของเกม Mario Kart 8 ที่มีการแสดงผลกราฟิก และการแพนกล้องแตกต่างจากภาคอื่น ทำให้ฉากทั้ง 48 ฉากเก่าใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมภาค Tour ของ DLC นี้ อาจมีจุดที่เรารู้สึก ‘เอ๊ะ’ แปลกๆ กับการเรนเดอร์ภาพ เช่น รถระเบิดที่โดยปกติจะต้องปลิวขึ้นด้านบนสูงๆ แต่เอฟเฟกต์จะเหลือเพียงแค่เหมือนกับโดนระเบิดโยนใส่และกลิ้งไปมาด้านล่าง เช่นเดียวกับ Half-pipe ที่เราไปเล่นโลดโผนอยู่ดีๆ แต่กล้องก็หมุนตามรถแล้วส่องลงพื้นเสียอย่างนั้นแทนที่จะส่องทางไปด้านหน้า ส่วนพื้นที่ดวงจันทร์ของ 3DS Rainbow Road ก็ย้อนแสงแยงตามาก
【คอนเทนต์ของแถมที่เสิร์ฟแบบไม่พัก】
การเซอร์ไพรส์ของ Booster Course Pass เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เมื่อ Wave 4 ได้ถูกประกาศเปิดตัวพร้อมกับคอนเทนต์ที่หลายคนตกตะลึง นั่นคือการเพิ่มตัวละครใหม่เข้ามา โดยเราจะได้เจอกับนักแข่งใหม่ถึง 8 ชีวิต ซึ่งมีทั้งตัวละครเก่าที่กลับมา และตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในภาคหลักครั้งแรกเป็น Kamek เต่าพ่อมด Peachette ร่างจำแลงของเจ้าเห็ดชมพูสุดหวานแหวว รวมไปถึง Pauline นายกสาวคนเก่งจากภาค Odyssey ส่วนตัวละครที่แฟนเกมเรียกร้องนั้นก็มาครบ ทั้ง Diddy Kong, Funky Kong และยังมี Petey Piranha ที่ไม่ได้อยู่ภาคหลักมาถึง 20 ปี
และใน Wave สุดท้ายก็ยังมีการเพิ่มชุดสกินสำหรับ Mii เข้ามาด้วยอีกกว่าสิบชุดให้เลือกเปลี่ยน ชุดพวกนี้ผู้เล่นไม่ต้องสแกน Amiibo โดยจะเป็นชุดจากภาค Tour เหมือนกัน แต่เอฟเฟกต์เก๋ๆ ก็ถูกเพิ่มเข้ามา เช่นชุด Castle มีลักษณะคล้ายกับปราสาทในเกมภาคคลาสสิก ถ้าเกิดว่าเราทำ Trick โลดโผนได้ ก็จะทำให้ธงรูดปรื๊ดขึ้นมาบนหัวด้วย คิดว่าน่ารักดีครับ โดยสกินทั้งหมดจะเป็นธีมมาริโอ้ด้วยน่าจะใช้เวลานานเลยครับกว่าจะลองกดเล่นกันหมดทุกลาย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการเพิ่มตัวละครเข้ามาแบบนี้บาลานซ์ก็ถูกปรับเปลี่ยนเหมือนกัน Meta ที่ใช้มาตลอด 5 ปีเลยความผันผวนเป็นพิเศษ คิดว่าจุดนี้แหละทำให้ชีวิตใหม่ของ Mario Kart มีสีสันมากขึ้น
【กราฟิก】
ขอลบคำปรามาสก่อนหน้าที่เคยรู้สึกเสียดายศักยภาพเกม เพราะการกลับมาตั้งแต่ Wave 2 เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น โดยโมเดลที่เคยโล้นๆ ด้วยสีพาสเทลตุ่นๆ ไม่มีมิติ มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเท็กซ์เจอร์แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะไม่ได้สวยงามมากถึงขั้นภาคหลักเสียทีเดียว แต่ก็เห็นความตั้งใจ และด้วยความที่เกมนี้ต้องอาศัยความเร็วดังนั้นเราจึงไม่มีเวลาโฟกัสความสวยอยู่แล้ว
ทั้งนี้ในบางฉากโดยเฉพาะ Wave หลังๆ จะเห็นว่ามีการใส่เอฟเฟกต์ฉากหรือองค์ประกอบกราฟิกแบบสนามแข่งภาคหลักให้ภาพสวยงามขึ้น เช่น Peach Garden ที่นำเอาดอกไม้จริงมาใช้แทนโมเดลดอกไม้ 5 กลีบเดิมๆ ทื่อๆ หรือ Piranha Plant Cove ที่ใช้ประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนเท็กซ์เจอร์ให้ดูมีมิติขึ้นมาแม้จะใช้โมเดลโพลิก้อนระดับเดียวกับมือถือก็ตาม ภาพที่ออกมาก็เลยดูสวยน้องๆ กับฉากภาคหลัก กอปรกับเอฟเฟกต์น้ำและ Skybox คุณภาพสูง ส่วนเพลงนั้นอยากที่เคยรีวิวใน Wave แรกไป ทีมงานให้ความสำคัญและใช้เพลงดนตรีบรรเลงสดของ Mario Kart Band ตามมาตรฐานภาค 8 ตัวหลัก
【บทสรุป】
ถึงจำนวน 96 สนามแข่งในตอนนี้จะเยอะมากเป็นพิเศษแล้ว แต่อยากย้ำซ้ำๆ อีกครั้งเลยครับว่า Mario Kart 8 Deluxe: Booster Course Pass น่าหยิบมาสานต่อเป็น DLC ลำดับสอง ที่มีฉากการแข่งขันอื่นๆ ที่ยังคงตกค้างอยู่กลับมาเพราะสนามแข่งยอดฮิตบางฉากเช่น Airship Fortress และ Koopa Troopa Beach นั้นได้รับการออกแบบใหม่ใน Tour แล้วราวกับพร้อมใช้งานบนภาค 8 เพิ่มเติมแล้ว ทั้งนี้ Booster Course Pass ชุดหลักก็คงจะเป็นอีกหนึ่ง DLC สุดคุ้มของเกมที่ช่วยเพิ่มความสดใหม่และความคึกคักในโหมดออนไลน์ไปอีกนาน
สำหรับใครที่อยากเล่น ขอแนะนำว่า Booster Course Pass เปิดราคาที่ $24.99 โดยจะเป็นการซื้อสนามแข่งครบทั้งหมดไม่มีแบ่งขาย แต่ผู้เล่นที่มีสิทธิ์สมาชิก Nintendo Switch Online Expansion Pack จะสามารถดาวน์โหลดชุด DLC นี้ได้ฟรีในฐานะส่วนหนึ่งของบริการ เริ่มต้นตั้งแต่ 18 มีนาคม 2022 เป็นต้นมา และยังมีการเริ่มต้นอัปเดตเข้าสู่ห้องออนไลน์ให้เล่นแล้วเหมือนกัน อย่าลืมไปลับฝีมือกันบน Mario Kart 8 Deluxe นะครับ
อีกด้านหนึ่ง Mario Kart 8 เป็นการเข้าสู่สมรภูมิรถแข่งปาร์ตี้แบบ HD อย่างเป็นทางการที่วางจำหน่ายครั้งแรกบน Wii U ก่อนจะพอร์ตให้กับ Nintendo Switch ในชื่อ Mario Kart 8: Deluxe โดยเพิ่มตัวละครและโหมด Battle เกมมีการชูโรงด้วยระบบการขับรถโกคาร์ทในสนามแข่งแบบต้านแรงโน้มถ่วง พร้อมระบบการถือไอเทมสองมือ ปัจจุบันถือเป็นเกมขายดีอันดับหนึ่งบน Nintendo Switch ด้วยยอดขายกว่า 57 ล้านชุด