[รีวิว] Rainbow Six Siege X เปิดศักราชใหม่แห่งเกม FPS ที่สดใหม่ยิ่งกว่าเดิม

Rainbow Six Siege X เป็นเกม Tactical FPS ที่เน้นย้ำเกมเพลย์แบบทีมแบ่งเป็นสองฝั่ง โดยมีหน้าที่ในการบุกทะลวง – ตั้งรับ ในภารกิจของสนามต่าง ๆ ที่เป็นสไตล์อินเทอแอคทีฟ ผู้เล่นสามารถพังฉาก สร้างโอกาสในการจู่โจมในแบบที่คาดไม่ถึงจากทั้งแนวดิ่งและแนวราบ ซึ่งภาคใหม่นี้มาพร้อมกับการปรับบาลานซ์ใหม่ มิติการต่อสู้ที่ลึกขึ้น และการปรับปรุงกราฟิกครั้งใหญ่ ที่สำคัญเป็นการก้าวกระโดดในแบบรีแบรนด์ อัปเกรดจากภาคเดิมได้เลย

และในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติการในเกมนี้มาแล้ว และก็ไม่พลาดที่จะนำรีวิวมาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ

อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PC โดยหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้าหลังจากที่รีวิวนี้ได้เผยแพร่ไปแล้ว ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้

กราฟิกที่สวยงามขึ้น และแสงเงาที่ดีขึ้น

ประเด็นแรกที่ต้องพูดถึงภายในเกม Rainbow Six Siege X ก่อนเลยก็คือ กราฟิกที่สวยงามขึ้นในระดับที่น่าพึงพอใจมาก ๆ โดยเท่าที่ผู้เขียนลองเปรียบเทียบกราฟิกกับเกมเวอร์ชั่นเก่าก็รู้สึกว่ากราฟิกในเกมนี้สวยงามขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมองเจาะในรายละเอียดพื้นผิวของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามหากใครคาดหวังว่ากราฟิกจะเปลี่ยนไปเลยเหมือนกับคนละเกม ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ขนาดนั้น เพราะยังไงก็ตามพื้นฐานของโมเดลก็ยังเป็นอันเดิม แต่อย่างที่ได้บอกไว้ก็คือจุดที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นก็คือรายละเอียดที่ดูดีขึ้น มีมิติมากขึ้น และองค์ประกอบที่ทำให้กราฟิกดูดีขึ้นอย่างมากอีกสิ่งหนึ่งก็คือ “แสงเงา” ภายในเกมนี้ที่ถูกปรับใหม่ ทำให้ภาพฉากของเกมนี้ชัดขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ ทำให้โดยรวมแล้วผู้เล่นคนใดที่ชื่นชอบการเสพกราฟิกก็คงจะต้องประทับใจในประเด็นนี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่พูดถึงไมได้เลยก็คือ กราฟิกที่ดีขึ้น ก็แลกมาด้วยทรัพยากรที่ต้องใช้มากขึ้นด้วย ทำให้คอมที่ต้องการอาจจะต้องแรงขึ้นในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองอาจจะทำให้ใครประสบปัญหาเฟรมเรตแกว่งในหลาย ๆ ครั้ง โดยเราก็ต้องรอการปรับจูนของทีมงานกันต่อไปในอนาคต

ระบบเสียงที่ถูกอัปเกรดขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่พูดถึงไมได้เลยก็คือการอัปเกรดระบบเสียงภายในเกมนี้ที่เรียกได้ว่าแทบจะทำให้รู้สึกว่าเป็นเกมใหม่พอสมควร โดยพื้นฐานแล้วเกมนี้มีระบบเสียงที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ในอัปเกรดนี้เสียงของเกมถูกทำออกมาปราณีตขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ตัวอย่างเช่นการยิงปืนในเกมเวอร์ชั่นใหม่นี้ระยะของเสียงปืนที่ดังขึ้นจะแตกต่างกันอย่างมาก และที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเมื่อมีการยิงปืนกันเกิดขึ้นนอกอาคารที่หน้าต่างยังปิดสนิทดี จะทำให้เราได้ยินเสียงเบาลงอย่างมาก และเสียงจะดังขึ้นทันทีเมื่อหน้าต่างถูกเปิดหรือถูกทำลาย ซึ่งแตกต่างจากเกมเวอร์ชั่นเดิมที่เสียงค่อนข้างใกล้เคียงกันทั้งเวลาที่ปิดหน้าต่างหรือเปิดหน้าต่างก็ตาม

นอกจากนี้ภายใน-ภายนอกแล้ว ระยะของเสียงที่อยู่คนละชั้นก็ยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย ซึ่งเราจะได้เห็นชัดเจนมากเมื่อศัตรูวิ่งขึ้น-ลงบันได นอกจากนี้เสียงฝีเท้าที่สัมผัสกับพื้นผิวต่าง ๆ ภายในฉากก็จะแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะทำให้ผู้เล่นที่แอบซ่อนอยู่คาดเดาได้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหน ยิ่งถ้าใส่หูฟังด้วยแล้ว ก็ยิ่งละเอียดมากขึ้นไปอีก โดยผู้เขียนประทับใจมาก ๆ และค่อนข้างมั่นใจว่ารายละเอียดเหล่านี้จะทำให้การแข่งขันเกมดังกล่าวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ฉากที่ทำลายได้

เรียกได้ว่าทำเอาทึ่งเลยก็ว่าได้กับการที่ฉากภายในเกมนี้แทบทั้งหมดสามารถทำลายได้! และแน่นอนว่าด้วยระบบนี้เองทำให้การเล่นเกมนี้โดดเด่นขึ้นอย่างมาก เพราะการหลบหลังที่กำบังไม่ได้แปลว่าเราจะปลอดภัยอีกต่อไป รวมไปถึงทุกการวางกลยุทธ์เราจะต้องระวังหัวไว้ให้ดี เพราะมีโอกาสที่ศัตรูจะทำลายหลังคาแล้วสอยหัวเราก็ได้ อีกทั้งต่อให้เราอยู่ที่สูงก็มีสิทธิ์โดนยิงทะลุพื้นตายได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะมีความสามารถในการเสริมกำแพงเหล็ก หรือปิดหน้าต่างได้ แต่ก็ต้องบอกเลยว่า “ไม่มีที่ไหนปลอดภัยจริง ๆ” ในการเล่นเกมนี้

โหมดใหม่ – DUAL FRONT สุดมันส์

การต่อสู้ในแมปแบบ 6v6 ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเป้าหมายของแมปนี้ก็คือการยึดครองจุดยุทธศาสตร์พร้อมกับป้องกันจุดยุทธศาสตร์ของตัวเองให้ได้ ซึ่งจากที่ผู้เขียนลองเล่นดูค่อนข้างให้ความรู้สึกคล้ายกับเกม MOBA เพราะว่าเกมจะแบ่งออกเป็น 3 เลนค่อนข้างชัดเจน โดยมีทั้งเลนบุก เลนรับ และเลนกลางที่เปรียบได้เหมือนกับเลนยุทธศาสตร์ที่จะช่วยให้ผู้เล่นรุกและรับได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ซึ่งจากที่ได้ลองเล่นก็ต้องบอกว่าการที่มีศัตรูเพิ่มเพียงคนเดียว ในขณะที่ทีมเราเองก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมา 1 คนนั้นทำให้การวางแผนกลยุทธ์นั้นหลากหลายขึ้นเยอะมาก ๆ จนเรียกได้ว่าแทบจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง (ยกเว้นคุณได้เพื่อนร่วมทีมประเภทเดินหน้ายิงมากกว่าเดินหน้าแบบกลยุทธ์นั่นก็อีกเรื่องนะครับ)  รวมไปถึงเกมนี้ยังมาพร้อมจุดเด่นที่ตัวละครแต่ละตัวจะมีสกิลที่ใช้ในการป้องกัน หรือบุกได้ไม่เหมือนเกมอื่น ๆ ทำให้โหมดเกมนี้มีความลุ่มลึกมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ซึ่งหากใครชอบเล่นเกม FPS แบบแข่งขันจริง ๆ บอกได้เลยว่าโดนใจแน่นอน

การปรับบาลานซ์ในเชิงรายละเอียดที่น่าสนใจ

อีกหนึ่งสิ่งที่เกม Rainbow Six Siege X ยกขึ้นมาก็คือการปรับบาลานซ์ซึ่งมีทั้งระบบในเกมเช่น ดาเมจจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ ความเสียหายจากสิ่งประกอบฉากต่าง ๆ เช่นไฟที่ลุกไหม้ รวมไปถึงตัว Operator นอกจากนี้ระเบิด C4 ยังมีการแยกแยะสีระหว่างทีมชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงการแสดงผลเส้นขอบสีตัวละครระหว่างการเล่นเกมที่จะเด่นชัดขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ในส่วนของ Operator ก็มีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน ซึ่งจุดนี้เองผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าผู้เล่นที่เข้ามาเล่นในเวอร์ชั่นนี้จะต้องใช้เวลาเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เยอะมากเลยทีเดียวครับ

สรุปรีวิว

Rainbow Six Siege X เป็นอีกหนึ่งเกมที่ผู้เขียนมองว่า Learning Curve สูงมาก แถมยังต้องพึ่งพาเพื่อนพอสมควรในการเล่นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งความซับซ้อนของเกมนี้ก็คือยาขมในช่วงต้น แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ และเข้าใจเกมมากขึ้นก็จะทำให้การเล่นเกมนี้มันส์ขึ้นมาก ๆ นอกจากนี้ การอัปเกรดเกมที่ถูกเพิ่มเข้ามายังเป็นการเพิ่มความซับซ้อน และความลุ่มลึกให้กับเกม ซึ่งต้องบอกเลยว่า “หาไม่ได้ในตลาดเกมปัจจุบัน” จริง ๆ ซึ่งหากใครชื่นชอบเกม FPS แบบแข่งขันกลยุทธ์ล่ะก็บอกได้เลยว่าถูกใจแน่นอนครับ

จุดเด่น

– กราฟิกที่ดูดีขึ้น แสงเงาที่สวยงามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

– โหมด DUAL FRONT ที่ทำให้การเล่นเกมนี้สดใหม่ขึ้นอย่างมาก

– การอัปเกรดเสียงที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นกว่าเดิม

– ระบบฉากที่ทำลายได้ ทำให้การวางกลยุทธ์ต้องรัดกุมขึ้นอย่างมาก

– การปรับบาลานซ์หลาย ๆ อย่างทำได้ดีมาก

ข้อสังเกต

– Learning Curve สูง แถมยังต้องพึ่งพาเพื่อนพอสมควร

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Ubisoft ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวกันในครั้งนี้ครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : [คลิก]