[รีวิว] Ninja Gaiden Ragebound นินจาทวงแค้น กับเกมเพลย์สุดคลาสสิก

หมายเหตุ: บทความรีวิวนี้อ้างอิงการเล่นเกมจากเครื่องเล่น Nintendo Switch ผู้เล่นอาจได้รับประสบการณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันตามแพลตฟอร์ม

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าปีนี้มันคือปีแห่งนินจาอย่างที่ KOEI Tecmo พูดไว้จริงๆ เพราะในระยะเวลาไม่กี่เดือนมานี้ และไม่กี่เดือนที่จะถึงเราจะมี Ninja Gaiden ให้เล่นกันสามภาค ซึ่งได้เปิดปีกันไปแล้วกับภาคสองเวอร์ชันรีเมคที่จัดเต็มด้วยคอนเทนต์จากภาคซิกมาแต่ก็ให้ความสำคัญกับความโหดดิบแบบภาคต้นฉบับ แต่ไฮไลต์มันไม่ได้อยู่ที่ภาคสามมิติ เพราะเรายังมีภาค Ragebound ที่มาคั่นกลางด้วย

Ninja Gaiden Ragebound มาพร้อมกับคอนเซปต์ที่ว่าการพลิกโฉมเกมแบบคลาสสิกของเดิมที่เคยเป็น Side-scrolling วิ่งตะลุยข้างธรรมดา แต่เปลี่ยนใหม่ให้มีความสด ความตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยการร่วมมือจาก The Game Kitchen และ DOTEMU ที่ไม่ต้องพูดถึงว่าความเชี่ยวในเกมสองมิติกราฟิกเรโทรนั้นเป็นอย่างไร ว่าแล้วขอเชิญพบกับรีวิวของเกมภาคใหม่นี้กันได้เลยครับ

การนำเสนอของ Ninja Gaiden Ragebound

เนื้อหาของเกมภาคนี้ไม่ได้เป็นการเล่าเรื่องโดย​ Ryu Hayabusa พระเอกของเราแต่อย่างใด แต่ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็นนินจาน้องใหม่ คือ Kenji Mozu ที่เพิ่งจะฝึกวิชากับสำนักในหมู่บ้านมาหมาดๆ แต่ได้รับภารกิจยิ่งใหญ่ในการปกป้องผู้คนจากการรุกรานของเหล่าปีศาจเพราะ Ryu พระเอกของเราต้องเดินทางไปต่างแดนนั่นเอง ซึ่งเอาเข้าจริงรู้สึกว่าการถ่ายทอดทำได้ดี ผู้เล่นจะได้ทำความรู้จักตัวละครและคุ้นชินได้ง่ายๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะออกแบบได้เป็นพระเอ๊กพระเอกนั่นเอง

นอกจากนั้นแล้วเรายังมีตัวละครอีกหนึ่งคนคือ Kumori สาวนักฆ่าผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่เหมือนกัน โดยเรื่องราวเองก็จะเป็นเส้นตรงมากๆ Kenji สู้ๆๆๆ อยู่ ก็เดินทางมาเจอกับ Kumori ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ร่วมมือกันตีศัตรู ปึ้ง! คือจะคาดหวังความเข้มข้นมากก็ไม่ได้ครับเพราะจักรวาล Ninja Gaiden กับ Dead or Alive มีมิติเรื่องราวที่แบนราบพอๆ กัน หัวใจหลักที่เราเข้ามาเล่นกันไม่ใช่เพื่อซึมซับ แต่เป็นเพราะแอ็กชันที่เราจะได้รัวปุ่มกัน และเกมนี้ทำได้ดีมากในส่วนนี้ครับ

เกมเพลย์ Old-school ที่ปรับใหม่ให้ทันสมัย

รูปแบบการควบคุมของเราเป็นแบบ Side-scrolling ตามสไตล์เกมแอ็กชันยุคก่อนๆ เลยครับ เข้าใจได้ง่ายมากๆ วิ่งๆ ฟันๆ ใช้อาวุธเสริมได้ แต่สิ่งที่ช่วยพลิกโฉมให้เกมนี้มีชีวิตชีวามากกว่าเดิมก็คือการที่มีองค์ประกอบจากภาคสามมิติเข้ามาด้วย อย่างการใช้ท่า Ragebound Arts ที่คล้ายกับการปล่อยวิชาขั้นสุดยอดของ Ryu กับภาคหลัก และยังมีเมคานิกใหม่ให้เรียนรู้มากมาย ช่วยเพิ่มความดุเดือด ความสนุกของเกมให้มากขึ้นแบบไม่คิดว่าจะเห็นจากเกมพิกเซลอาร์ตเลย

Kenji และ Kumori มีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน โดยมีบางส่วนที่เราต้องใช้ตัวละครใดตัวละครหนึ่งในการเคลียร์เส้นทาง กระนั้นแล้วเราจะใช้เวลากับ Kenji เป็นหลัก และ Kumori ได้ทำหน้าที่เป็นบทรอง คอยใช้ท่าโจมตี Ragebound Arts เพื่อทำลายล้างเหมือนกับอัลติ กระนั้นแล้วเวลาที่มีโอกาสได้เล่นเป็น Kumori เธอจะมีอาวุธที่ต่างกันด้วย คือมีดคู่และชูริเคนที่ใหญ่กว่า แถมคล่องตัวกว่าอีกต่างหาก (เสียที่ไม่ได้สลับใช้ตลอดเวลา เพียงแค่เหมือนใช้พลังของเธอด้วยร่าง Kenji)

Hypercharge ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ดูจะเป็นการปรับตัวสู่ยุคใหม่ โดยผู้เล่นจะพบว่าบางทีศัตรูอาจจะมีออร่าขึ้นมา เราสามารถใช้โอกาสนั้นในการปล่อยพลังรุนแรงใส่ได้แบบวันฮิตคิล แต่มันเป็นวินโดว์ที่เล็กมากๆ อย่าคิดว่าจะมีเวลาถมเถือ เราต้องรู้จักบริหารเวลา และหาช่องโจมตีกันอย่างรวดเร็ว เห็นแบบนี้ต้องยอมรับว่าเกมมีความลุ่มลึกมากกว่าการผจญภัยสองมิติธรรมดาๆ มากนักครับ บอสเองก็มีการต่อสู้ที่ต้องอาศัยสังเกตแพทเทิร์น เนี่ย ไอเดียมาจากภาคสามมิติเต็มเลย

ทั้งนี้ทั้งนั้นหลายคนอาจคาดหวังว่าแผนที่ของเกมจะเป็นแบบ Metroidvania ให้เราสำรวจหรือเปล่า ขอตอบว่าไม่ ทุกอย่างเป็นเส้นตรง มีพัสเซิลประปราย ให้เราวิ่งไปฟาดฟันกับศัตรูล้วนๆ ได้สนุกกับทุกการจ้วง ซึ่งฉากอาจมีเส้นที่แยกแขนงออกมาให้เราได้สำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นการเชื่อมโยงอะไรใหญ่โตครับ คิดว่าในอนาคตถ้ามีโหมดใหม่ๆ ออกมาให้เราได้เล่นในส่วนแอ็กชันรัวๆ เลือกตัวละครอิสระ ไม่ต้องวิ่งจุด A ไป B แบบนี้ จะดีมาก

กราฟิกและเพลงประกอบ

เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้พัฒนา The Game Kitchen ได้ผ่านมือกับ Blasphemous มาแล้ว ดังนั้นงานพิกเซลอาร์ตของพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากๆ ที่จะทำให้มีความลื่นไหลและมีรายละเอียด แต่อย่าลืมว่า Ninja Gaiden มีความแฟลชชี่ มีสีสันมากกว่า ซึ่งทีมพัฒนาทำออกมาได้ดีมาก ตัวละครทั้ง Kenji และชิโนบิสาวอีกคน Kumori ถูกวาดสไปรต์มาได้สวยมากๆ อย่างไรก็ตามโทนสีของเกมที่แม้จะมีความฉูดฉาด แต่ไม่มีเกมภาคไหนไม่โหดนะ

เรื่องของความดุเดือดหรือ Gore จุดนี้เป็นเสน่ห์ของ Ninja Gaiden อยู่แล้ว เราจะเห็นศัตรูตัวขาดกระจุยด้วยคมดาบและการโจมตีของสองคู่หูตลอดทั้งเกม และพวกเลือดที่สาดกระเซ็นยังมีไปติดบนผนังอีก จุดนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่ยกมาจากความเป็นเกมสามมิติที่กล่าวไว้ก่อนหน้า ประกอบเข้ากับพวกเอฟเฟกต์ไฟหรือองค์ประกอบต่างๆ มั่นใจได้เลยว่าแม้เป็นเกมสองมิติตแต่ CPU/GPU ของเครื่องเล่นได้ทำงานกันหนักหน่วง

ในส่วนเพลงประกอบเองก็ใช้ได้เลยครับ ฉีกแนวจากสิ่งที่ The Game Kitchen ทำ เพราะว่าเพลงเป็นเพลงแบบเมทัลทั้งหมด และต้องพูดว่าเพราะเราจะต้องวิ่งฟันศัตรูกันตลอดหลายชั่วโมงไม่มีจังหวะแผ่ว สิ่งนี้เลยปลุกเร้าความเลือดร้อนของผู้เล่นมากๆ (ฮา) มีบางจุดที่เพลงจะแผ่วๆ แต่ก็เป็นในส่วนคัตซีนมากกว่า ใดๆ คือเดือดจั๊ด!

คำถามคือถ้าเล่นบน Switch 1 ไหวหรือไม่?

ในส่วนของกราฟิกนั้นไม่ต่างกันเลยครับ เพราะเกมมันก็คือเกมพิกเซลอาร์ตอยู่แล้ว ทุกอย่างทำออกมาได้คุณภาพสูง และแม้จะมีข้อจำกัดที่ 30FPS ผมว่าก็ไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร สไปรต์ของตัวละครทำออกมาได้มีเฟรมเยอะมากๆ จึงดูลื่นไหลแบบไม่ได้คิดว่าควรจะเล่น 60FPS ด้วยซ้ำ แต่ความแตกต่างคือว่า Switch 1 มีช่วงเฟรมตกอย่างแน่นอนครับเพราะเอฟเฟกต์เขาเยอะจริง ดีที่ Switch 2 กลบจุดนี้ได้ด้วยแรงประมวลผลที่ดีกว่า อย่างไรเสียขอบอกว่า Switch 2 ยังคงล็อคเฟรม ณ ตอนนี้ โดยจะมีแพตช์ใหม่มาในอนาคต

บทสรุป

Ninja Gaiden Ragebound เป็นหนึ่งในเกมแอ็กชันสองมิติที่เล่นได้เพลินมากกก! ตัวละครทั้งสองมีแนวทางการเล่นชัดเจนและทีมงานเองให้ความสำคัญกับประสบการณ์ดั้งเดิมมากๆ ตัดฉับกับ Ninja Gaiden 2 Black ภาครีเมคก่อนหน้านี้ กับภาคสี่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งด้วยสเกลของเกมที่ไม่ใหญ่เกินไป มันเลยทำให้การเล่นของเรารู้สึกว่าไม่เป็นภาระมาก การเล่าเรื่องทุกอย่างเร็วแบบกระชับ ไม่ได้เร่งให้จบ แม้เกมมันจะสั้นก็ตามเถอะ ด้วยราคาระดับนี้คิดว่าคุ้มๆ ครับ

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ Ninja Gaiden Ragebound ก็สามารถหาเล่นได้แล้ววันนี้ไม่ว่าจะบน PlayStation 5, Xbox Series X|S, Nintendo Switch และ PC โดยยังมีวางจำหน่ายให้กับเครื่องเล่นแพลตฟอร์มเก่าทั้ง PS4 – Xbox One ด้วย เกาะมือกันแน่นๆ ไม่ตกขบวน สำหรับโอกาสหน้า ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปัน อย่าลืมติดตามกันที่นี่เช่นเคยเพื่อไม่ให้พลาดความเคลื่อนไหวและข่าวสารใหม่ๆ ในวงการเกมก่อนใครครับผม