[รีวิว] Mario vs Donkey Kong (2024) ลุงหนวดปะทะเจ้าจ๋อจอมจอมแสบ

ช่วงเวลานี้ต้องยอมรับจริงๆ ครับว่านี่คือยุคทองของเกมแฟรนไชส์ Super Mario ที่ได้กลับมาอีกครั้งหลังจากภาพยนตร์อนิเมชันเข้าฉายและทำเงินมหาศาลตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จก็ทำให้ไม่น่าแปลกใจนักถ้าเกิดว่า Nintendo จะเลือกทำตลาดเกมซีรีส์นี้กันต่อเนื่อง ทั้งภาคใหม่ล่าสุดอย่าง Super Mario Bros. Wonder และในปีนี้ก็มีเกมสปินออฟตามมาทั้งเกมของเจ้าหญิง Peach และภาครีมาสเตอร์ของ Luigi’s Mansion 2 แต่ช่วงต้นปีก็ขอเรียกน้ำย่อยก่อนเลยกับผลงานเกมเวอร์ชันรีเมคจากยุคเกมบอย

ก่อนอื่นเลยต้องทำความรู้จักกับภาคนี้ก่อน ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นการตีความใหม่สำหรับเกม Donkey Kong ในเวอร์ชันคลาสสิกอันเป็นเหมือนกับต้นกำเนิดของทั้ง Mario ที่ ณ ตอนนั้นยังมีชื่อว่า Jumpman อยู่ และตัวเจ้าจ๋อเลยด้วย โดยหลังจากตบตีกันไปกับไตรภาคบนเครื่องเล่นแฟมิคอมทั้งคู่ก็แยกย้ายไปมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเอง ก่อนจะโคจรมาพบกันในภาค “94” บนเครื่องเล่นเกมบอย และกลับมาเป็นแฟรนไชส์แยกเต็มตัวตั้งแต่เกมบอยแอดวานซ์ในปี 2004 เป็นต้นมา และในปีนี้ก็เป็นโอกาสครบรอบ 20 ปีของภาคนี้พอดิบพอดี ทางค่ายก็ไม่พลาดที่จะนำมารีเมคใหม่อีกครั้งในฐานะจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่ระหว่างคู่ปรับ

Mario vs Donkey Kong ชื่อเหมือนจะไฟต์ แต่จริงๆ เป็นพัสเซิล

ฟังชื่อของเกมดูแล้วหลายคนก็อาจจะเข้าใจว่านี่คือการวิวาทแลกหมัด แต่ที่จริงแล้วเกมนี้เป็นเกมแนวแอ็กชันผสมผสานพัสเซิล ซึ่ง Mario จะมีการบังคับในรูปแบบเดินตะลุยข้าง แต่ก็จะมีข้อจำกัดเล็กน้อยเพราะเราไม่ได้วิ่งลุยดะกระโดดเหยียบศัตรู เพราะจะต้องฝ่าอุปสรรคค่ายกลชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปีนเชือก ไต่บันได เปิดสวิตช์ประตูกลไปมา หรือหยิบของประกอบฉากชนิดต่างๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการเดินทางของเรา ทั้งนี้หลายท่าก็จะมีความโลดโผนมากกว่าปกติ ทั้งการตีลังกากลับหัวเดินเพื่อใช้เท้าด้านบนเตะสิ่งของที่หล่นลงมา หรือการกระโดดสามจังหวะแบบภาคหลักก็ยังมีอยู่

รูปแบบเกมจะแบ่งออกเป็นสามประเภทหลักๆ โดยประเภทแรกคือด่านปกติที่จะมีทั้งหมดสองช่วง ด่านประเภทนี้จะให้เราวิ่งไปให้ถึงประตูและระหว่างทางก็จะมีทั้งศัตรู หรือสิ่งกีดขวางต่างๆ พร้อมด้วยกล่องของขวัญด่านละสามกล่องที่เก็บเพื่อให้ได้คะแนนที่สูงขึ้น จากนั้นช่วงที่สองก็จะให้เราวิ่งไปเก็บลูกแก้ว Mini Mario ที่ถูกขโมยมา ซึ่งจะมีทั้งหมดหกด่านต่อหนึ่ง World เมื่อเคลียร์ครบทั้งหกด่านแล้ว จะปลดล็อกด่านประเภทที่สองที่ Mario จะต้องนำทางกลุ่มของเล่นตัวจิ๋วกลับเข้ากล่องของเล่น ถ้าเกิดว่าเราเผลอทำ Mini Mario พังระหว่างทางก็จะส่งผลให้มีพลังชีวิตหรือ ‘ป๊อก’ สำหรับด่านถัดไปน้อยลง และด่านสุดท้ายจะเป็นการต่อกรกับ Donkey Kong ที่ให้เราปีนบันไดลิงไปโยนไอเทมใส่เพื่อโจมตีมันจนชนะ

ความน่าสนใจก็คือในเกมแคมเปญหลักได้มีฉากใหม่เพิ่มเข้ามาทั้งสิ้น 2 World หรือรวมแล้ว 16 ฉากที่นำเสนอเรื่องราวในเกมให้ยาวมากขึ้น โดยฉากเหล่านี้ถูกใส่เข้ามาในช่วงกึ่งกลางเนื้อเรื่อง ไม่ต้องรอเคลียร์จนจบแต่อย่างใด ซึ่งสองฉากนี้มีความพิเศษตรงที่กิมมิคที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงศัตรูใหม่ด้วย รู้สึกว่ามีความสดใหม่มากขึ้นแต่ในส่วนความยากง่ายนั้นคิดว่าเป็นบาร์ระดับเดียวกันกับด่านเดิมๆ ครับ

ฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้เกมเล่นได้ง่ายขึ้น

จุดเด่นของเกมภาครีเมคนี้มีการเพิ่มฟีเจอร์การช่วยเหลือใหม่เข้ามาสองอย่างคือตัวเลือกโหมด Casual ที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นของเราราบรื่นมากขึ้น และใช้งานได้สะดวกมากด้วยเพราะสามารถกดปุ่มปรับการตั้งค่าได้ตลอดเวลา เมื่อเราใช้งานก็จะทำให้เกมไม่มีการจับเวลานับถอยหลังอีกต่อไป (ใช่ครับ ปกติต้องรีบเคลียร์ฉากให้จบ!) และตัว Mario ก็จะอึดมากขึ้นเพราะเมื่อโดนศัตรูจะไม่ได้เป็น One-hit Kill แล้ว เพราะสามารถ Spawn ใหม่จากจุดเริ่มต้นใหม่ได้ถึง 5 ครั้ง เรียกได้ว่าไม่ว่าใครๆ ก็สามารถเล่นได้ง่ายขึ้น (จากที่ปกติก็ค่อนข้างง่ายอยู่แล้วนะเนี่ย) นอกจากนั้นก็จะมีโหมดการเล่น Co-op ช่วยให้ผู้เล่นอีกคนรับบท Toad มาทุ่นแรงด้วย

คอนเทนต์เพิ่มเติมจัดเต็มอย่างคุ้มค่า

อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าเกมนี้เป็นเกมที่เล่นง่ายอยู่แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าสามารถเล่นจบกันได้ง่ายๆ ดังนั้น Nintendo จึงได้มีเซอร์ไพรส์ด้วยเนื้อหาที่เพิ่มเข้ามาแบบจัดเต็มนั่นคือฉากท้าทายระดับ Expert สำหรับแคมเปญหลักที่เพิ่มความดุเดือดมากขึ้นไปอีกรวมจำนวนแล้วผู้เล่นจะได้ตะลุยค่ายกลสุดโหดไปกว่า 130 ฉากทีเดียว เท่านั้นไม่พอก็ยังมีระบบ Time Attack ที่ปลดล็อกในภายหลังให้เราได้แข่งทำเวลาในการเคลียร์เกมคอนเทนต์หลักเช่นกัน ดังนั้นนับว่าเป็นการรีเมคที่คุ้มค่ามากๆ เมื่อเทียบกับราคาเกม

กระนั้นแล้วต้องยอมรับว่าจุดที่รู้สึกเสียดายก็คือความยากง่ายของเกมที่เราย้ำกันบ๊อยบ่อย เพราะถ้าหากใครเคยเล่นเกมภาคดั้งเดิมมาก็น่าจะสังเกตเห็นว่าไม่ค่อยมีความแตกต่างมากนัก และยังเนิร์ฟให้ง่ายลงด้วย อาทิระบบ Fall Damage ที่ปกติผู้เล่นจะแพ้ทันทีเมื่อตกลงมาจากที่สูง ทว่าคราวนี้ Mario จะแค่ติดสตันกันไปพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาวิ่งต่อสบายๆ ครับ

กราฟิกและเพลงประกอบ

ในแง่เพลงและงานภาพขอยกนิ้วให้เลยว่าทำออกมาได้ดีมากๆ โดยในส่วนกราฟิกได้กลายมาเป็นภาพสามมิติเต็มรูปแบบแล้วจากเดิมที่ใช้สไปรต์สองมิติดัดแปลงจากโมเดลสามมิติ ซึ่งตัวโมเดลของ Mario พบว่ามีรายละเอียดในตัวพอสมควรเลยเช่นลายเสื้อและผ้าเอี๊ยมที่เห็นชัดๆ เป็นชุดยีนส์ ขณะที่ฉากหลังก็ได้รับการปรับแต่งใหม่โดยได้แรงบันดาลใจออกแบบจากภาค 3D World ครับ UI เองก็แทบจะยกมาแบบตรงๆ เลยด้วย

ถัดมาก็คือคัตซีนกราฟิกระดับสูงที่เราเห็นแล้วนึกถึงอนิเมชันดีๆ เรื่องหนึ่งเลย โดยปกติคัตซีนภาคดั้งเดิมจะเป็นเพียงภาพนิ่งประกอบเสียง ทว่าคราวนี้เราจะเห็นว่าเป็นฉากมูฟวี่เต็มตัวสวยงามเลย และท้ายที่สุดในส่วนของเพลงประกอบยังคงใช้ของเดิมที่ผสมผสานธีม Metropolitan เข้ากับเพลง Jazz & Croons แบบเกม Donkey Kong Country แต่ไฮไลต์เด็ดจะเป็นอะไรไปไม่ได้ครับนอกจากฉากไตเติ้ลที่เป็นการรีมิกซ์เพลงประกอบทั้ง Super Mario Bros. และ Donkey Kong เข้าด้วยกัน ใครที่เคยเล่นเกมภาคต้นฉบับมาแล้วได้ยินต้องมีอมยิ้ม

บทสรุป

แม้เกม Mario vs Donkey Kong จะเป็นเกมรีเมคที่ดูเหมือนจะเพลย์เซฟกันไปบ้างและยังลดความท้าทายออกไปเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าเป็นชุดที่คุ้มค่ามากด้วยราคาเพียง $49.99 อีกทั้งยังได้คอนเทนต์เสริมมาเพิ่มเวลาการเล่นให้เราไปอีกยาวๆ โดยเฉพาะโหมด Co-op ที่ให้เราชวนเพื่อนมานั่งเคลียร์ปริศนากัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์ที่เคยเล่นภาคนี้มาแล้ว หรือใครที่อยากมีเกมปาร์ตี้สนุกๆ เปลี่ยนอารมณ์จากเกมตะลุยด่านเดิมๆ ของ Super Mario ก็อยากแนะนำว่าเป็นเกมที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ยังมีเดโมฟรีให้ลองดาวน์โหลดบน eShop แล้วด้วยนะครับ

อีกด้านหนึ่ง ใครที่สนใจสามารถหาซื้อได้แล้วบน Nintendo Switch โดยเป็นเกมแก้ปริศนารูปแบบแอ็กชันให้เรารับบทเป็นลุงหนวดช่างซ่อมท่อ Mario ออกตามหาตุ๊กตาจิ๋วของตัวเองในฉากประตูกลต่างๆ หลังจากที่จ๋อคู่ปรับ Donkey Kong ได้บุกเข้ามาขโมยของเล่นในโรงงานจนหมด โดยเกมเพลย์จะเป็นรูปแบบภารกิจให้เราวิ่งฝ่าอุปสรรคในด่านแต่ละด่าน