[รีวิว] Hollow Knight: Silksong – ลำนำการผจญภัยแห่งใยไหมและดนตรีกาล

Hollow Knight: Silksong เกมแอ็กชั่นผจญภัยที่มีต้นกำเนิดจาก DLC ก่อนต่อยอดเป็นเกมเต็ม เราจะได้รับบทเป็น Hornet ออกเดินทางสู่ดินแดนใหม่ที่ถูกปกครองด้วยเส้นไหมและบทเพลงหลังจากถูกจับตัวมายังโลกแปลกประหลาดแห่งนี้ ผู้เล่นต้องเตรียมตัวต่อสู้กับเหล่าศัตรูจอมโหด ไขปริศนาโบราณระหว่างการเดินทางอันตรายที่มุ่งขึ้นสู่ยอดสูงสุดของอาณาจักร สำรวจ ต่อสู้ และเอาชีวิตรอดในแผนที่สไตล์ Metroidvania ขนาดใหญ่

ในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปร่วมผจญภัยกับ Hornet มาแล้ว และก็ไม่พลาดที่จะนำรีวิวมาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ

อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PC โดยหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้าหลังจากที่รีวิวนี้ได้เผยแพร่ไปแล้ว ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้

กราฟิกและบรรยากาศที่ตราตรึงใจ

สิ่งแรกที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจทันทีตั้งแต่เริ่มเล่นเกมก็คือ กราฟิกที่สวยงามและความคมชัด รายละเอียดทุกอย่างถูกนำเสนออย่างมีสไตล์เฉพาะตัว ใช้โทนสีที่สลับไปมาระหว่างความมืดมนชวนลึกลับ และความสดใสในบางจุด ทำให้บรรยากาศโดยรวมมีชีวิตชีวาและดูมีสีสันมากกว่าเกมภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด

อีกหนึ่งจุดที่ทำให้ผู้เขียนทึ่งคือรายละเอียดของฉากหลังที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตจนสร้างความเซอร์ไพรส์ได้ไม่รู้จบ ไม่เพียงแต่จะมีความสวยงามแบบโดนใจ แต่หลาย ๆ จุดยังมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นด้วย เช่น การทำลายวัตถุ การพบกับสิ่งที่ขยับเคลื่อนไหวได้เอง หรือแม้แต่การปรากฏของรายละเอียดเล็ก ๆ ที่รอให้ผู้เล่นค้นพบเมื่อเดินผ่าน สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจของทีมพัฒนาอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมนี้น่าประทับใจยิ่งขึ้นคือ ความลื่นไหลในการเล่น โดยเฉพาะเมื่อทดสอบบนพีซีก็ไม่พบอาการเฟรมเรตตกหรือกระตุกแม้แต่น้อย ทุกการเคลื่อนไหวและแอ็กชั่นไหลลื่นจนทำให้ผู้เขียนรู้สึกเพลิดเพลินและดื่มด่ำกับโลกของเกมได้เต็มที่

เกมเพลย์สุดโหดที่ท้าทายทุกการก้าวเดิน

หัวใจหลักของเกมนี้คือการผสมผสานระหว่าง ความซับซ้อนแบบ Metroidvania และ ความโหดสไตล์ Soulslike ที่ผู้เขียนกล้าพูดเลยว่าหากใครไม่เตรียมใจมาให้พร้อมมีสิทธิ์ถึงขั้น “ปาจอย” ได้เลยทีเดียว

การสำรวจในเกมเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้ติดหนึบ แผนที่ที่ถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียดในทุกมุม ผู้เขียนถึงกับยกให้เป็นหนึ่งในแผนที่ที่ “แน่นที่สุด” เท่าที่เคยเล่นมาเลยก็ว่าได้ โดยในช่วงแรกตัวละครยังมีท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่จำกัดทำให้บางพื้นที่เข้าถึงไม่ได้ แต่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ และปลดล็อคสกิลการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ การกลับไปสำรวจพื้นที่เดิมที่เคยผ่านไม่ได้ กลับกลายเป็นความรู้สึกที่ทั้งตื่นเต้นและสะใจอย่างบอกไม่ถูก

ส่วนในแง่ของการต่อสู้ บอกเลยว่าต้องใช้ สมาธิและจังหวะที่แม่นยำ แม้กระทั่งมอนสเตอร์ตัวเล็กก็ประมาทไม่ได้ เพราะหากเรากะจังหวะผิดไปเพียงเสี้ยววินาที ก็อาจต้องกลับไปเริ่มใหม่ที่จุดเซฟได้ง่าย ๆ และเมื่อไหร่ที่เราตาย ของที่เราสะสมมาก็จะหล่นอยู่ ณ จุดที่เราตายไปทำให้เราต้องวิ่งกลับไปเก็บอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าจุดนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของเกมสไตล์ Soulslike อยู่พอสมควรเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น บอสของเกมนี้คือบททดสอบสุดหินที่สร้างทั้งความกดดันและความเร้าใจไปพร้อมกัน หากไม่ศึกษาลักษณะการโจมตีให้ดี ก็มีโอกาสแพ้แบบไม่รู้ตัว แต่ในขณะเดียวกันการโค่นบอสลงได้ก็จะมอบความรู้สึกสะใจและภาคภูมิใจที่ผู้เขียนยอมรับว่า “คือเสน่ห์ของเกมนี้มาตั้งแต่ภาคแรก” และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือ ทุกครั้งที่ผู้เล่นเอาชนะบอสได้จะเป็นการเปิดทางสู่พื้นที่ใหม่ ๆ และปลดล็อคสกิลการต่อสู้ที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้การผจญภัยไม่เคยหยุดนิ่ง และสร้างแรงจูงใจให้ผู้เล่นอยากก้าวต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากนี้หากจะเปรียบเทียบกับภาคแรก ก็ต้องบอกว่า Hornet เป็นตัวละครที่มุ่งเน้นการต่อสู้ที่รวดเร็วมากขึ้น มีท่วงท่าการโจมตีที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เราจะได้เห็น Hornet ในการโจมตีที่แตกต่างไปจากตัวละครเอกภาคแรก ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดพุ่งลงมาโจมตีจากด้านบน รวมไปถึงการโจมตีที่ Hornet จะถูกกระแทกกลับมาเล็กน้อยแทบจะทุกครั้งในการโจมตี และเมื่อผนวกกับมอนสเตอร์ภายในเกมนี้ที่มีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้เขียนการันตีว่าแอ็กชั่นภายในเกมนี้สนุกตึงมือสุด ๆ ไปเลยล่ะครับ

เสียงดนตรีและบรรยากาศที่ตราตรึงใจ

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ดนตรีประกอบ ที่แม้จะไม่ได้มีให้ได้ยินมากมายนัก แต่ทุกครั้งที่บทเพลงดังขึ้นกลับสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการพากย์และการร้องเพลงของตัวละครต่าง ๆ ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างลงตัว ทำให้ทุกช่วงเวลาของการเล่นเกมเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย และยังสอดคล้องกับชื่อเกมที่มีคำว่า Song ได้อย่างชัดเจน ผู้เขียนกล้ายืนยันเลยว่า เพลงที่ได้ฟังระหว่างการเดินทางนั้นจะ “ติดหู” และก้องอยู่ในใจผู้เล่นไปอีกนานแน่นอน

นอกเหนือจากความไพเราะแล้ว เสียงดนตรีเหล่านี้ยังเป็นตัวบ่งชี้บอกผู้เล่นอีกว่า “ใกล้ ๆ มี NPC อยู่” ทำให้เรามีเป้าหมายในการสำรวจแผนที่มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Sherma ผู้แสวงบุญที่เราจะได้เจอเขาครั้งแรก ณ หน้าประตูที่ปิดตาย หรือแม้กระทั่ง Shakra ที่จะขายแผนที่รวมไปถึงไอเทมสำคัญในการสำรวจให้กับเรา

สรุปรีวิว

โดยรวมแล้วเกม Hollow Knight: Silksong มอบประสบการณ์ที่ครบเครื่องอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ กราฟิกที่สวยงามและละเอียดจัดเต็ม แต่ถึงจะสวยงามขนาดนี้ ตัวเกมกลับทำงานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้เสียอารมณ์แม้แต่น้อย ในด้านของเกมเพลย์เองก็เต็มไปด้วยพลังงานและความเร้าใจ แอ็กชั่นรวดเร็ว ลื่นไหล แต่แฝงด้วยความท้าทาย ผู้เล่นไม่สามารถกดปุ่มมั่ว ๆ ได้ ต้องอาศัยการวางแผน จังหวะ และความใจเย็นเพื่อเอาชนะศัตรูให้ได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เกมนี้พิเศษคือ เสียงและดนตรีประกอบที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงที่ตรึงอารมณ์ หรือเอฟเฟกต์เสียงที่สร้างบรรยากาศสมจริง ทุกอย่างถูกใส่ใจจนช่วยยกระดับการเล่นให้เต็มอรรถรสมากขึ้น อย่างไรก็ตามเกมนี้ก็ไม่ได้ง่ายจนเกินไป เพราะการเรียนรู้ระบบต่าง ๆ และการสำรวจแผนที่ที่ซับซ้อน ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่เมื่อค่อย ๆ คลายปมออกไป ความรู้สึกภูมิใจและตื่นเต้นที่ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็คือรางวัลที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง

ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 9.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็เป็นได้ครับ

จุดเด่น

– กราฟิกสวยงาม รายละเอียดมาแบบจัดเต็ม แต่ไม่มีกระตุกแม้แต่น้อย

– แอ็กชั่นลื่นไหล รวดเร็ว แต่ต้องวางแผนในการเล่น

– พาร์ทเสียง และดนตรีประกอบถือว่าดีงามมาก ๆ

ข้อสังเกต

– ใช้เวลาเรียนรู้ และความใจเย็นในการเล่นอยู่ค่อนข้างเยอะ

– การสำรวจแผนที่ที่แอบซับซ้อนพอสมควร

ภาพสกรีนช็อตเพิ่มเติม

ผู้อ่านคนใดต้องการติดตามรีวิว / พรีวิวเกมอื่น ๆ ของ This Is Game Thailand ก็สามารถมาได้ที่นี่ครับ >>>คลิก<<<