[รีวิว] Dragon Quest III HD-2D Remake – ออกปราบจอมมารในแบบคมชัดบาดตา
เกมรีเมคที่เคารพความเป็นต้นฉบับได้แบบ 100% และเสริมความโมเดิร์นได้ลงตัว
Dragon Quest III HD-2D Remake คือการนำเกมคลาสสิคมาสร้างใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้นในรูปแบบ HD-2D ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างกราฟิก 2D แบบพิกเซลที่เราคุ้นเคยกับเอฟเฟกต์ 3D ที่ทันสมัย ทำให้เกมมีบรรยากาศที่ทั้งคลาสสิคและร่วมสมัยไปพร้อมกัน รวมไปถึงเกมนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมายให้ผู้เล่นได้ใช้งาน
และในวันนี้ทางทีมงานได้มีโอกาสออกเดินทางไปกับฮีโร่เพื่อปราบจอมมารแล้ว และเราก็ไม่พลาดที่จะนำรีวิวมาให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 และถ้าหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยหลังจากที่รีวิวเผยแพร่ไปแล้วก็เป็นได้
รีวิว Dragon Quest III HD-2D Remake
กราฟิกสวยงาม คลาสสิคถูกใจ มาพร้อมฟีเจอร์ประจำ PS5
แม้ว่า Dragon Quest III HD-2D Remake จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงกราฟิกไปเป็น 3 มิติแบบพลิกโฉม แต่ตัวเกมก็มาพร้อมกับกราฟิกที่ได้รับการปรับปรุงให้สวยงามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการใช้เทคนิค HD-2D ที่ผสมผสานความคลาสสิคของเกม 2D เข้ากับฉากที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยกราฟิก 3D ที่ทันสมัย ทำให้เกมดูสดใสและน่าเล่นยิ่งขึ้น ผู้พัฒนาเกมทำได้อย่างยอดเยี่ยมในการเคารพต้นฉบับ ทำให้เกมเมอร์รุ่นเก่ารู้สึกคุ้นเคย และเกมเมอร์รุ่นใหม่ก็ได้สัมผัสกับความคลาสสิคที่น่าประทับใจ
นอกจากนี้ เกมยังมีโหมดให้เลือก 2 โหมด ได้แก่ โหมดภาพสวยงาม (Fidelity) และโหมดภาพลื่นไหล (Performance) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เกมบน PS5 มักจะมีมาให้ โดยโหมดภาพสวยงามจะเน้นที่ภาพที่คมชัด สีสันสดใส และแสงเงาที่ดูสมจริง ขณะที่โหมดภาพลื่นไหลจะเน้นเฟรมเรตที่สูง ทำให้เกมเล่นได้ลื่นไหลมากขึ้น จากการทดลองเล่น ผู้เขียนพบว่าไม่ว่าจะเล่นโหมดไหนความลื่นไหลก็แทบไม่ต่างกัน ฉะนั้นผู้เขียนขอแอบกระซิบว่าอยากให้เล่นในโหมดภาพสวยงามจะดีกว่าครับ
หวนคืนความคลาสสิค ที่มาพร้อมระบบปรับแต่งตัวละคร และคลาสใหม่สุดเจ๋ง
เกมนี้ไม่ได้มีดีแค่กราฟิกที่สวยงามผสมผสานระหว่าง 2D และ 3D ได้อย่างลงตัวเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับเกมเพลย์ JRPG แบบคลาสสิคที่แฟนเกมซีรีส์ Dragon Quest คุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัยไปกับกลุ่มปาร์ตี้ 4 คน การสำรวจโลกกว้างที่เต็มไปด้วยความลับ หรือการต่อสู้แบบเทิร์นเบสที่สนุกสนาน ฉะนั้นผู้เล่นที่ชื่นชอบเกมเพลย์ JRPG คลาสสิคบอกได้เลยว่าเกมนี้ตอบสนองความต้องการของผู้เล่นได้อย่างแน่นอน
จุดที่ผู้เขียนประทับใจอย่างมากก็คือเราสามารถเลือกคลาสของตัวละครที่ต้องการเข้าร่วมทีมได้ แถมยังสามารถเลือกรายละเอียดของตัวละครได้ด้วย เช่นรูปร่างลักษณะโดยรวม สีผม เสียงของตัวละคร ไปจนถึงค่าสถานะของตัวละครที่เราสามารถเลือกอัปเกรดค่าสถานะพื้นฐานได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ผู้เล่นสามารถจัดทีมในฝันของผู้เล่นได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเกม แต่ความสนุกไม่จบแค่นั้น เพราะเราจะสามารถผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตัวละครในทีมได้เรื่อย ๆ ฉะนั้นเรามีโอกาสที่จะได้หาส่วนผสมทีมที่ลงตัวของคุณได้ตลอดการเล่นเกมนี้
นอกจากนี้เกมนี้ยังมาพร้อมกับคลาสใหม่อย่าง Monster Wrangler ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสทดลองเล่นก็ต้องบอกว่าเป็นคลาสที่อรรถประโยชน์มาก ๆ โดยในมุมของผู้เขียนมองว่าคลาสนี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมของหลาย ๆ คลาสเข้าด้วยกัน แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือสกิลของคลาสนี้ที่มาแบบจัดเต็ม โดยสกิลของคลาสนี้จะเป็นการใช้สกิลของมอนสเตอร์ในการต่อสู้ ทำให้หากเราในอดีตเราเคยอิจฉามอนสเตอร์ที่มีสกิลเก่ง ๆ โกง ๆ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะได้เอาคืนด้วยการใช้สกิลเหล่านั้นอัดพวกมันกลับได้เลย โดยสกิลที่คลาสนี้ใช้ได้ไม่ได้มีแค่สกิลโจมตี แต่ยังมีสกิลสนับสนุน สกิลฮีล สกิลป่วนศัตรู และอื่น ๆ อีกมากมายจนเรียกได้ว่าสะใจเกมเมอร์แน่นอน
เล่นได้สบายด้วยฟีเจอร์อำนวยความสะดวกเพียบ!
หากใครกำลังกังวลว่าการเล่นเกม Dragon Quest III HD-2D Remake จะยากเหมือนกับเกมต้นฉบับหรือไม่ ผู้เขียนบอกได้เลยว่าทางผู้พัฒนาเกมเขาก็เข้าใจผู้เล่นเกมนี้เป็นอย่างดี ทำให้ภายในเกมรีเมคนี้มาพร้อมกับการอัปเกรดคุณภาพชีวิต (Quality of Life – QoL) จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วการต่อสู้ ที่ผู้เล่นสามารถเร่งความเร็วได้ ฉะนั้นใครอยากให้การต่อสู้จบไว ๆ ก็ปรับไปที่ความเร็วระดับ Ultra-Fast ได้เลย
นอกจากนี้เกมยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นมาร์คเป้าหมายที่ต้องเดินทางไป ทำให้ผู้เล่นสามารถเห็นตำแหน่งที่ต้องไปบนแผนที่ได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องกลัวหลงทางอีกต่อไป อีกทั้งระบบบันทึกบทสนทนา ที่ผู้เล่นสามารถบันทึกบทสนทนากับตัวละครต่าง ๆ ไว้ค้นดูได้ทุกเมื่อ และถ้าใครกลัวว่าเกมนี้จะยากเกินไปก็ไม่ต้องกังวลเพราะเกมนี้มาพร้อมกับความยาก 3 ระดับให้เลือกเล่นได้ตามใจ และที่สำคัญที่สุดก็คือเกมนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เร่งบทพูด ทำให้ผู้เล่นที่อยากจะมุ่งเน้นการผจญภัยก็สามารถเร่งบทพูดให้เร็วขึ้นได้ตามต้องการ!
Monster Arena สุดมันส์ ที่ผู้เล่นจะได้เข้าพิชิตชัยชนะด้วยทีมมอนสเตอร์แกร่ง
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาภายในเกมเวอร์ชั่นรีเมค และเป็นฟีเจอร์ที่ผู้เขียนก็เซอร์ไพรส์และชื่นชอบมาก ๆ ก็คือ Monster Arena ที่ผู้เล่นจะได้มีโอกาสช่วยเหลือเหล่ามอนสเตอร์ที่ปรากฎตัวภายในแผนที่ต่าง ๆ และนำพวกมันมาเป็นพวกเพื่อรวมทีมมอนสเตอร์ 3 ตัวเข้าต่อสู้กับตัวละครอื่น ๆ ภายในเกม
และแน่นอนว่าเมื่อเป็นฟีเจอร์เกี่ยวกับมอนสเตอร์ คลาส Monster Wrangler ก็เป็นคลาสที่มีบทบาทอย่างมากมากในฟีเจอร์นี้ เพราะตัวละครคลาส Monster Wrangler เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจับมอนสเตอร์ เพราะตัวละครคลาสนี้มีความสามารถพิเศษที่ช่วยให้สามารถจับมอนสเตอร์ได้ง่ายขึ้น และยังสามารถทำให้ผู้เล่นรับรู้ได้ว่ามีมอนสเตอร์อยู่ใกล้ ๆ หรือไม่ ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นการเพิ่มคอนเทนต์ของคลาสและฟีเจอร์ใหม่เข้ามาได้อย่างลงตัวและสมเหตุสมผลอย่างมาก โดยผู้เล่นคนใดที่ชื่นชอบการเล่นเกมแนวสะสมมอนสเตอร์มาตีกันก็ไม่ควรพลาดฟีเจอร์นี้เป็นอันขาดครับ
สรุปรีวิว
ผู้เขียนการันตีได้เลยว่า Dragon Quest III HD-2D Remake จะต้องถูกใจเกมเมอร์วัยหนวดทั้งหลายอย่างแน่นอนด้วยรูปแบบเกมทั้งหมดที่ยังคงความคลาสสิคไว้ได้แบบครบถ้วน ในขณะเดียวกันก็ยังมีการเพิ่มระบบใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ผู้เล่นเข้าถึงเกมนี้ได้มากขึ้น และทำให้ผู้เล่นสนุกกับการเล่นได้มากขึ้นจนผู้เขียนบอกได้เลยว่า “เล่นลืมเวลาแน่นอน”
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 9.5 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
– การรีเมคที่เคารพต้นฉบับจนต้องคารวะ
– กราฟิก HD-2D ที่ทำให้เกมสวยงามขึ้นอย่างมาก
– คลาสใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ คอนเทนต์ใหม่ที่ทำให้เกมนี้น่าสนใจขึ้น
– QoL ของเกมที่อัปเกรดเพื่อให้เข้าถึงผู้เล่นได้มากขึ้น
ข้อสังเกต
– ความคลาสสิคบางอย่างอาจจะทำให้ผู้เล่นยุคใหม่เกาหัว เช่นการชุบชีวิตตัวละครที่โบสถ์ เป็นต้น
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งซื้อเกมได้ที่ : [คลิก]
ภาพสกรีนช็อตเพิ่มเติม
ผู้อ่านคนใดต้องการติดตามรีวิว / พรีวิวเกมอื่น ๆ ของ This Is Game Thailand ก็สามารถมาได้ที่นี่ครับ >>>คลิก<<<