อดีตประธาน Blizzard การขึ้นราคาของ Xbox เป็นเรื่องของกำไรโดยเฉพาะ

Microsoft ประกาศปรับราคา Xbox Series X และ Series S ในสหรัฐอเมริกาครั้งที่สองของปี 2025 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมนี้ สาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่ท้าทาย ตามประกาศอย่างเป็นทางการของบริษัท โดยรุ่น Xbox Series X 2TB Galaxy Black Special Edition จะราคาพุ่งจาก 599.99 ดอลลาร์ เป็น 800 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์นับจากมกราคมปีนี้ ขณะที่รุ่นมาตรฐาน Series X เพิ่ม 50 ดอลลาร์ เป็น 649.99 ดอลลาร์

การขึ้นราคาครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่เดือนหลังจากปรับขึ้นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2025 ซึ่งเพิ่มราคาเฉลี่ย 20-70 ดอลลาร์ต่อรุ่น โดย Microsoft ยืนยันว่าราคาอุปกรณ์เสริมไม่เปลี่ยนแปลง และราคาในตลาดนอกสหรัฐฯ ยังคงเดิม ผู้บริหารระบุว่า “เราพิจารณาอย่างรอบคอบ และมุ่งเน้นให้ผู้เล่นเข้าถึงเกมได้หลากหลายมากขึ้น” แต่ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามถึงมูลค่าของคอนโซล ในยุคที่ Xbox Game Pass เล่นได้ดีไม่แพ้กันบน PC

อดีตประธาน Blizzard Mike Ybarra ออกมาแสดงความเห็นบนบัญชี X ของเขา ว่า “การขึ้นราคาคอนโซลไม่ใช่ปัญหาจากภาษีนำเข้า แต่เป็นเรื่องกำไรล้วน ๆ และสาเหตุที่กำไรไม่เข้าเป้ามีปัญหาลึกซึ้งกว่าข้ออ้างเรื่องภาษี” เมื่อผู้ใช้รายหนึ่งโต้แย้งว่ามันคือการส่งต่อต้นทุนจากความผิดพลาดของ Microsoft ในตลาด เพื่อรักษากำไร Ybarra ตอบกลับว่า “ใช่ ภาษีขึ้นครั้งเดียวก็สมเหตุสมผลสำหรับการปรับราคาครั้งเดียว แต่การขึ้นซ้ำโดยไม่มีภาษีใหม่คือปัญหาอื่น และผู้บริโภคจะต้องจ่ายค่าปัญหาเหล่านั้นต่อไป”

เมื่อเทียบกับคู่แข่ง PlayStation 5 ของ Sony ปรับราคาเพิ่ม 50 ดอลลาร์ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2025 โดยรุ่นมาตรฐานอยู่ที่ 549.99 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับที่กระจายระหว่างตลาดยุโรปและอเมริกา ขณะที่ Nintendo ปรับราคา Nintendo Switch รุ่นเก่า (ไม่รวม Switch 2) เพิ่ม 30-50 ดอลลาร์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดย Switch 2 ยังคงราคาเดิมที่ 449.99 ดอลลาร์ การปรับของ Microsoft จึงดูรุนแรงที่สุด สะท้อนถึงแรงกดดันจากภาษีนำเข้าที่กระทบอุตสาหกรรมเกมโดยรวม

สำหรับผู้ใช้ Xbox Series X ที่ซื้อในปี 2020 อย่างในกรณีนี้ คอนโซลกลายเป็นตัวเลือกรองที่เปิดใช้งานเฉพาะเมื่อ PC ไม่พร้อมใช้งานเพราะ Game Pass บน PC ให้ประสิทธิภาพดีกว่า ด้วยจอภาพคุณภาพสูง และไม่มีอะไรที่ Series X ทำได้ซึ่ง PC ทำไม่ได้