[รีวิว] Once Upon a Katamari กาลครั้งหนึ่ง… กลิ้ง (วิ่ง) มาแล้ว!

หมายเหตุ: ตัวเกมที่นำมารีวิวเป็นเวอร์ชัน PlayStation 5 ประสบการณ์ที่ได้รับอาจมีความแตกต่างกัน

ในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยได้ยินกันเท่าไรนัก แต่ Katamari Damacy นับเป็นหนึ่งในเกมคัลต์คลาสสิกที่มีผู้เล่นให้การติดตามมากทีเดียวในช่วงกลางยุค 2000s ด้วยความเรียบง่ายแต่ได้เสียงฮาจากมุกตลก ไปจนถึงรายละเอียดเล็กน้อยอย่างการจัดวางสิ่งของตามฉากที่ให้เรา เจ้าชายน้อยสีเขียว กลิ้งลูกบอลไปเก็บ เนี่ย! เกมมีแค่เนี้ย แต่มันทัชใจกันสุดๆ และวันนี้เองภาคใหม่อย่าง Once Upon a Katamari ก็มาถึงแล้วครับ

ผมมั่นใจว่า Once Upon a Katamari เป็นภาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดภาคหนึ่งแทบจะเทียบเท่ากับ We Love Katamari ในปี 2023 เลยครับ ด้วยปริมาณเนื้อหาที่อัดแน่นและการปรับมาตรฐานให้เกมมีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งพวกเรา ThisIsGame Thailand ก็ขอขอบคุณ BANDAI NAMCO Entertainment Asia สำหรับเกมเพื่อนำความประทับใจมาแบ่งปันให้ฟังผ่านรีวิวนี้ครับ ว่าแล้วอย่ารอช้าขึ้นยานกันมาเลยดีกว่า

King of All Cosmos ราชาสุดซ่าส์กับเรื่องฮาระดับจักรวาล

พูดถึงคาตามาริแล้วเราจะนึกถึงอะไรกันได้นอกจากดวงดาวและจักรวาล แน่นอนครับว่า Once Upon a Katamari ก็ยังคงมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ King of All Cosmos ท่านพ่อของเจ้าชายน้อย The Prince ผู้ที่ (เชื่อว่าตัวเอง) มีรูปโฉมงดงามกล้ามใหญ่พลัง K ได้เผลอไปทำให้ทั้งยูนิเวิร์สของเราหายวับไปกับตา เดือดร้อนลูกชายตัวจิ๋วต้องใช้อุปกรณ์วิเศษที่เรียกว่า ‘คาตามาริ’ ที่เป็นลูกบอลมีตุ่มก้อนกลมๆ หลากสี ตามกลิ้งไปดูดวัตถุต่างๆ กลับคืนมาเพื่อให้พระราชาดีดนิ้วเป๊าะกลายเป็นดวงดาวขึ้นมาใหม่ จุดนี้เหมือนเดิมเป๊ะ แต่ความพีคคือ…

พระราชาของเราได้มอบเรือบินอวกาศอย่าง SS Prince ที่เป็นเหมือนฐานบัญชาการในรูปของยานข้ามเวลา พาเดินทางไปยังอดีตในสมัยต่างๆ ทั้งยุคโจรสลัด ยุคอียิปต์โบราณ หรือแม้กระทั่งสมัยเอโดะเพื่อหาสิ่งของต่างๆ ตามร่องรอยอารยธรรมกลับมาให้ได้ และเมื่อเราได้ไปต่างยุคแบบนี้ก็ย่อมหมายความว่ามีไอเทมฮาๆ NPC ตลกๆ ให้เราได้เจอหลากหลายกว่าเดิม ซึ่งจะได้กลายในหัวข้อถัดๆ ไปครับ

หน้าที่ของเราจะต้องนำยานอวกาศ SS Prince ลำนี้ท่องไปยังแต่ละยุคเกือบสิบธีมเลยครับ แต่ละธีมก็จะมีความแตกต่างกัน และมีรูปแบบการแสดงความคืบหน้าการเล่นที่ชัดเจน นั่นคือทำภารกิจในยุคที่เราได้รับมอบหมายให้ครบ จากนั้นก็จะปลดล็อกไปเรื่อยๆ รวมฉากทั้งหมดทะลุห้าสิบแบบ ตั้งแต่การกลิ้งก้อนกลมๆ เพื่อดูดวัตถุมาเป็นก้อนใหญ่ให้ได้เร็วที่สุดแบบคลาสสิก หรือจะเป็นภารกิจอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงก็มี เช่นตามหาคน เก็บแค่เครื่องดื่ม หรือห้ามกลิ้งไปโดนสิ่งต้องห้าม อันสุดท้ายเนี่ยหัวร้อนเพราะตามฉากเราอาจเจอวัวควายวิ่งใส่จนชนกลิ้งไปโดนแบบไม่ตั้งใจ อ้อเกือบลืม แม้ฉากจะมีการรีไซเคิลธีม แต่เลย์เอาต์จะไม่เหมือนกัน เล่นไม่เบื่อครับ

Once Upon a Katamari มาพร้อมกับความใหม่หลายอย่างแต่ยังคงเข้าใจง่าย และสนุกได้ง้ายง่าย!

ในฉากหลักการบังคับทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมเลย ถ้าเคยเล่นภาค We Love Katamari เวอร์ชันรีมาสเตอร์และ Katamari Damacy Reroll มาก่อนไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม เราจะใช้อนาล็อกซ้ายและขวาในการบังคับลูกกลิ้งคาตามารินี้ไปด้านหน้าหรือถอยหลัง ซึ่งช่วงแรกอาจจะเข้าใจยากสำหรับมือใหม่ แต่ในฉากฝึกสอนจะอธิบายครบทุกเมคานิกเพื่อให้พร้อมเล่นได้เลย (จริง!) นอกจากนี้ยังมีโหมดบังคับใหม่อย่างแผนผัง Simple Control ด้วย แต่คิดว่าอันเก่าใช้ง่ายกว่า อาจเป็นเพราะผมชินก็ได้ครับ

ส่วนที่เพิ่มเข้ามาแล้วน่าสนใจไม่น้อยก็คือ Freebies หรือไอเทมที่เก็บได้ตามฉากที่จะเพิ่มความสามารถของเราชั่วคราว เช่นจรวดที่จะช่วยบูสต์ความเร็วของเรา แม่เหล็กดูดที่ช่วยให้เก็บวัตถุขนาดใกล้เคียงคาตามาริทั้งหมด หรือกระทั่งสัญญาณวิเศษที่ช่วยตามหาไอเทมสำคัญ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของที่เป็นประโยชน์ แต่ผมว่าเอฟเฟกต์อาจจะไม่ค่อยใช้งานได้ดีนัก ทว่าก็พอช่วยใครที่เป็นมือใหม่ให้ทำคะแนนสูงๆ ได้อย่างเอ็นจอยๆ และที่สำคัญที่สุดที่เพิ่มเข้ามาตอนเล่นคือเราจะเช็คสถิติได้เรียลไทม์เลยว่าเก็บวัตถุชนิดไหน ตรงโจทย์ที่ให้หรือเปล่า

ระหว่างก่อนที่เราจะเข้าไปในฉาก จะมีสองพื้นที่ใหญ่ๆ คือ SS Prince ยานอวกาศที่จะมีคำสั่งสำหรับการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตัวละครและช่องทางการเข้าโหมดมัลติเพลเยอร์ ถัดมาเป็นอีกฉากคือ Hub World ขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งไปตามยุคสมัย และเราจะได้เข้าไปในการเล่นหลักจากส่วนนี้นั่นเอง โดยใน Hub จะมีชาวเมืองคอยเรียกร้องให้เราทำภารกิจต่างๆ ตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น ด้วยความที่มีฉากหลังหลากหลายจึงทำให้เราต้องเข้าผ่านหน้าต่างๆ เยอะสักหน่อย แต่ก็คิดว่ามันมีความเป็นพื้นที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ให้เราได้เดินชม

ถัดมาเป็นของเล่นใหม่อย่างระบบการแต่งกาย โดยปกติแล้วภาคเก่าๆ จะให้เราสับเปลี่ยนแค่ตัวละคร Cousin (ญาติพี่น้องที่มีมากถึงเกือบ 70 ตัว) ที่ปลดล็อกตามทาง และการสวมหน้ากากหรือสะพายกระเป๋า ติดหมวก อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ภาคนี้เพิ่มการปรับแต่งใบหน้าเข้ามา มีตั้งแต่หน้าธรรมดาไปจนถึงหน้ากวนๆ ทำปากเบะ ส่วนผมจะชอบหน้าคลาสสิกมากกว่าเพราะหมั่นเขี้ยวดีครับ ส่วนนี้สัมพันธ์กับโหมดออนไลน์เพราะเราจะได้โชว์การตกแต่งตัวละครของตัวเองให้เพื่อนได้ดูด้วย!

ท้ายที่สุดคือ KatamariBall ระบบมัลติเพลเยอร์ออนไลน์ที่กลับมาครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปีนับตั้งแต่ Beautiful Katamari บน Xbox 360 ว่าไปแล้วจากรีวิวก็เหมือนกับพาย้อนอดีตไปเลย แต่ก่อนจะเข้ารกเข้าพงมากกว่านี้ก็อยากแนะนำว่าเป็นโหมดที่พอเล่นเพลินๆ ครับ กฎก็คือทำการม้วนให้ก้อนใหญ่มากที่สุดแล้วนำไปส่งที่จุดรับเพื่อทำแต้ม และถ้าก้อนคาตามาริของเราใหญ่เพียงพอก็จะดูดเพื่อนฝ่ายตรงข้ามหรือลูกบอลอีกฝ่ายมาได้เช่นกัน น่าเสียดายนิดนึงตรงที่รูปแบบกฎมันน้อยนิดเหลือเกิน เล่นแคมเปญหลักยังอาจจะเพลินกว่า

การเล่าเรื่องที่ดีขึ้น แต่มีจุดติเล็กน้อย

เนื้อหาของเกมอย่างที่ผมบอกว่ามีการเล่าเรื่องที่ดีขึ้นแบบตรงจุดเหมือนภาค Forever แล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นภาคแรกมากเลยครับ (แต่แก๊กสั้นที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ก็มี) และถ้าสังเกตให้ดีเกมมีคัตซีนก่อนเข้าฉากแล้วด้วยเหมือนกัน และไดอะล็อกของ King of All Cosmos ก็ยังเต็มไปด้วยการเหน็บแนมหรือน้อยใจเวลาเราไม่ทำตาม บางอย่างก็แทบจินตนาการไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ถึงพูดแบบนี้ออกมา นอกจากนั้นแล้วฉากเกมโอเวอร์ที่เราจะได้เห็นการลงโทษลูกแบบชวนเกาหัวเหมือนเดิม

ทั้งนี้อยากจะติติงสักเล็กน้อยในฐานะแฟนเกม ผมรู้สึกว่านอกจากของที่เพิ่มเข้ามาข้างต้น มันดูเหมือนเป็นการช่วยการเข้าถึงมากกว่านวัตกรรมหรือฟังก์ชันใหม่ที่แบบ ‘ว้าววว…’ แต่ถึงอย่างไรพอเป็นเกมใหม่ มีอะไรใหม่ๆ มันก็ถือว่าดีจริงไหมล่ะ! และคอนเทนต์เองก็แน่นมากๆ ด้วย มีด่านให้เล่นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ครับ

กราฟิกและเพลงประกอบ

ในเรื่องของกราฟิกถ้าใครเคยเล่นมาก่อนแล้วทุกภาคก็จะทราบว่าสถานที่ ฉากหลัง และวัตถุล้วนเป็นรูปแบบโลว์โพลีที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการประมวลผลอาจไม่ได้ใช้มากมายเท่าไรหากเรามองผิวเผิน อย่างไรก็ตามจำนวนของสิ่งของที่เราสามารถกลิ้งไปเก็บได้มันมีมากทีเดียว กระนั้นเฟรมเรตยังคงอยู่ในระดับ 60FPS นิ่งๆ ไม่มีอิดออดแต่อย่างใดครับ ต้องปรบมือให้กับทีมพัฒนาที่สามารถบาลานซ์ออกมาได้อย่างลงตัวเลย ส่วนโทนสีของฉากจะพบว่ามันก็เบสเดิมตั้งแต่ภาค Reroll ในปี 2018 ที่เป็นมาตรฐานมาถึง We Love Katamari และภาค Live บนมือถือ เช่นเดียวกับโมเดลของตัวละคร The Prince ที่กลมกิ๊กน่ารัก

จุดเด่นสำคัญของแฟรนไชส์คาตามาริก็คือเพลงประเภท Shibuya-kei โดยได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 90s – ต้น 2000s แต่คราวนี้เราจะพบว่ามีการคิวเรตมาได้น่าสนใจมาก เพราะไลน์อัปศิลปินล้วนเป็นนักร้องยุคใหม่ อาทิ Kocchi no Kento และ DAOKO เห็นแล้วต้องร้องกรี๊ดเพราะเราไม่ได้เห็นนักร้องเบอร์ใหญ่มาทำเพลงให้คาตามาริตั้งแต่สมัย Leah Dizon ในยุค PS3 เลย และเพลงที่นักร้องใช้ประกอบก็คืออ้างอิงทำนอง ดนตรี ตามยุคที่ The Prince ของเราเดินทางไปทำภารกิจด้วย พอถึงยุคเอโดะก็เป็นเพลงที่มีเครื่องดนตรีแบบชามิเซนผสมผสานเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยเป็นต้น เพลงธีมอียิปต์ของ Saya Asakura ก็ดีมาก!

บทสรุป

ถ้า Katamari Forever เคยรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดของแฟรนไชส์เกมนี้เอาไว้ Once Upon a Katamari คือการพาเราไปสัมผัสความเป็นคาตามาริใหม่ตั้งแต่ต้นสมกับชื่อที่ว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ทุกอย่างสามารถเข้าใจได้ง่ายแบบเปิดเล่นได้เลย มีการเข้าถึงที่ดีขึ้นด้วยระบบการควบคุมที่ใช้แผงปรับปรุงใหม่ เช่นเดียวกับหลายองค์ประกอบที่จะวางรากฐานให้กับเกมภาคถัดๆ ไปที่อาจตามมาในอนาคต ทั้งไอเทมตามฉากและระบบการปรับแต่งตัวละครที่อิสระมากขึ้นนั่นเองครับ ส่วนใครที่เป็นแฟนอยู่แล้วอย่างผมเอง ก็ขอบอกว่าฟินสุดๆ เพราะมุกในเกมที่อิงไปยังเรื่องราวเก่าๆ เพียบ

สำหรับใครที่สนใจ Once Upon a Katamari ก็สามารถหาซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปบน PlayStation 5, Xbox Series X|S, Nintendo Switch และ PC ถือเป็นอีกหนึ่งเกมแนวพัสเซิลที่มาพร้อมไอเดียกับความโปกฮาซึ่งทุกคนจะต้องยิ้มตามไปแน่นอน ปัจจุบันเกมมีทั้งรูปแบบมาตรฐานและรูปแบบเดอลุกซ์ที่มาพร้อมเพลงประกอบจากเกมภาคเก่าๆ เช่นเดียวกับสกินเพิ่มเติมด้วย สำหรับโอกาสหน้า ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปันอย่าลืมติดตามที่นี่เช่นเคยครับ