Sony วางจำหน่าย PlayStation 5 Pro รุ่นปรับปรุงใหม่ในญี่ปุ่น
CFI-7100B01 เน้นปรับโครงสร้างภายใน เพิ่มความเงียบและน้ำหนักเบา

Sony Interactive Entertainment หรือ SIE เริ่มวางจำหน่าย PlayStation 5 Pro รุ่นปรับปรุงใหม่ภายใต้รหัสหมายเลข CFI-7100B01 ในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา โดยรุ่นนี้ถูกส่งเข้ามาเพื่อสานต่อจาก PS5 Pro รุ่นแรก (CFI-7000B01) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2024 ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมย่อยที่มาเร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้
แม้จะถูกระบุว่าเป็นรุ่นใหม่ แต่เจ้า CFI-7100B01 นี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่เรียกว่าพลิกโฉม หรือ Full Model Change แต่อย่างใด หากแต่เป็นการปรับปรุงรายละเอียดเชิงวิศวกรรมภายในตัวเครื่องเป็นหลัก ในขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกและฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานยังคงเหมือนเดิมทุกประการ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการยกระดับความสมบูรณ์ของตัวผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นกว่ารุ่นเริ่มต้น
ในแง่ของขุมพลังและประสิทธิภาพ รุ่นปรับปรุงใหม่นี้ยังคงยึดสเปกเดียวกับ PS5 Pro รุ่นแรกอย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็นจีพียูที่มีประสิทธิภาพสูง หน่วยความจำ SSD ขนาดความจุ 2TB รวมถึงการรองรับเทคโนโลยีอัปสเกลภาพด้วย AI อย่าง PSSR นั่นหมายความว่าคุณภาพของกราฟิก ความเร็วในการโหลดข้อมูล และเฟรมเรตขณะเล่นเกมจะยังคงยอดเยี่ยมไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า

จุดที่เรียกเสียงฮือฮาและมีการปรับปรุงให้เห็นจริงจะอยู่ที่ความเงียบและการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยตัวเครื่องรุ่นใหม่นี้มีน้ำหนักลดลงไปประมาณ 100 กรัม เหลือราว 3.0 กิโลกรัม พร้อมกับการปรับจูนระบบระบายความร้อนใหม่ทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เสียงของพัดลมในขณะที่เครื่องกำลังทำงานหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับรุ่น CFI-7000B01 เดิม
นอกจากนี้ SIE ยังได้มีการปรับแต่งเรื่องการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งช่วยลดทั้งความร้อนสะสมและเสียงรบกวนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่ใช่ระดับที่ว้าวสำหรับทุกคน แต่ก็นับเป็นการแก้ปัญหาความรำคาญเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ใช้งานจริงเคยบ่นไว้ และทำให้ตัวเครื่องดูมีความเสถียรน่าใช้งานมากขึ้น
สำหรับใครที่มี PS5 Pro รุ่นแรกวางอยู่ที่บ้านแล้ว การจะควักเงินอัปเกรดมาเป็นรุ่น CFI-7100B01 อาจจะยังไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น แต่สำหรับเหล่าเกมเมอร์ที่กำลังลังเลและตัดสินใจจะซื้อเครื่องเป็นครั้งแรก การที่ราคาในญี่ปุ่นยังคงเท่าเดิมที่ 119,980 เยน จะทำให้รุ่นใหม่ที่ทั้งเงียบและเบากว่า กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าสนใจกว่าอย่างเห็นได้ชัดในเวลานี้







