[พรีวิว] Elden Ring Nightreign สัมผัสใหม่ เอลเด้นริงในฉบับบู๊แอ็กชันเล่นไว!

หมายเหตุ: ตัวเกมที่ได้รับการทดสอบยังคงอยู่ในการพัฒนา ประสบการณ์ที่ได้รับอาจมีความแตกต่างกัน

ใครว่า Elden Ring จะเข้าถึงได้ยาก? มั่นใจได้ว่าเพื่อนๆ ผู้อ่านจำนวนไม่น้อยยังคงไม่กล้าเยื้องกรายเข้ามาแตะเกมรูปแบบ Souls-like กันแม้ว่าเกมภาคล่าสุดนั้นจะมาพร้อมกับประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ง่ายและเต็มอิ่มไปด้วยความสนุกทั้งแอ็กชันและเนื้อเรื่องชวนติดตามจนชิงรางวัล Game of the Year ในปี 2022 ไปได้อย่างสวยงาม ทว่าความท้าทายเองก็ยังคงเป็นอุปสรรคของหลายคน รวมไปถึงการที่เราอาจจะต้องใช้เวลาในการเล่นนานเป็นพิเศษ แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นอดีตกับ… Elden Ring Nightreign!

และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถึงผมจะเล่น Elden Ring จบแล้วพร้อมกับเลือดที่หยดติ๋งๆ ตามตัวของผู้มัวหมองที่สู้รบปรบมือกับศัตรูกันมานาน แต่ Elden Ring Nightreign ได้มอบความรู้สึกใหม่ที่เฉพาะตัวมากๆ แบบที่ไม่ใช่เกม Roguelike ธรรมดานะ แต่มันคือไอ้เกมเอลเด้นริงเนี่ยแหละ มันคือเกมที่ผมแอบรู้สึกเข็ดขยาดเพราะอดหลับอดนอน (ไอ้เรามันก็สายฟาร์ม) ทว่าทำไมหนอการเล่นเกมครั้งนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกว่า นี่แหละเกมที่เราจะเล่นระหว่างพักกินข้าวได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวติดลมจนเพลินลืมวันคืน และยังมันส์ด้วยแอ็กชันโดยที่ไม่ทิ้งรสชาติ ว่าแล้วขอเชิญมาพบกับสัมผัสแรก (ครั้งใหม่) ในแดนมัชฌิมาอีกครั้งได้ในพรีวิวเลย

ตัวเกมที่เราได้รับการทดสอบนั้นจะมาพร้อมกับตัวละครทั้งสิ้นสี่ตัวละครดังนี้คือ Wylder, Guardian, Duchess และ Recluse ซึ่งทุกตัวละครมีสกิลแอคทีฟ ไปจนถึงอัลติเมตที่แตกต่างกันตามสไตล์การเล่นเลย เริ่มจาก Wylder เป็นสายบาลานซ์เหมาะทั้งบู๊และตั้งรับ, Guardian เหยี่ยวสุดเท่ที่มาพร้อมกับสกิลสำหรับการแทงก์, Duchess สายตีไวที่เล่นง่ายและเข้ามือที่สุดสำหรับผมเองนะ (เพราะก็เล่นเธอคนนี้ไปเกือบทุกรอบ) และท้ายที่สุดเป็น Recluse แม่มดหญิงผู้ใช้คทาในการโจมตีจากระยะไกล อาวุธเริ่มต้นทุกคนจะมีแตกต่างกันแต่สามารถสลับสับเปลี่ยนได้ทั้งหมดครับ

การลงสนามครั้งแรกร่วมกับสื่ออื่นๆ แน่นอนว่าพวกเราก็อดงงกันไม่ได้ครับว่าเอ๊ะจะต้องทำอะไรกันบ้าง เมื่อเปิดแผนที่ก็จะพบว่าเป็นฉากขนาดใหญ่ที่มีจุดแลนด์มาร์กให้เราเข้าไปสำรวจมากมายทั้งดันเจี้ยน ป้อมปราการ หรือโบสถ์ และในตัวของ HUD หรือเมนูบนหน้าจอจะพบว่ามีการปรับปรุงให้เข้ากับรูปแบบออนไลน์ด้วย เช่นสกิลของเราที่จะขึ้นตามการไปตีรันฟันแทงกับมอนสเตอร์ในฉากและเก็บ ‘รูน’ ที่เป็นเหมือนแต้มประสบการณ์เพื่อนำไปอัปเลเวลตามจุดพรที่เราคุ้นเคย และเมื่อเล่นไปสักพักผมก็พอเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง… มันคือวงกลมที่จะบีบให้เราสวมวิญญาณหลวงพ่อโกยนั่นเองครับ!

เห็นแบบนี้ในรอบแรกไม่รอช้าพวกเราก็วิ่งไปยังแลนด์มาร์กใหม่ที่ปรากฏขึ้นมานั่นคือต้นพฤกษาทองก่อนที่จะพบกับบอสขนาดใหญ่ที่เราไม่ทันเตรียมตัวก็โดนฟาดกันหมด (แม้ว่าทุกคนล้วนผ่านมือ Elden Ring มาแล้ว) จากนั้นก็เลยทราบกันว่ารูปแบบการเล่นนั้นเข้าใจง่ายกว่าที่คิด! การเข้าเล่นแต่ละ ‘Run’ จะมีความยาวทั้งสิ้นสามค่ำคืนตามเวลาในเกม โดยเริ่มช่วงแรกจะเป็นเช้าตรู่ที่เรามีเวลาในการสำรวจฉากเพื่อต่อสู้กับศัตรู ฟาร์มไอเทม ซื้อขายของกับพ่อค้า ก่อนที่วงจะบีบมาสู่จุดเกิดของบอสใหญ่สองครั้งและจบที่บอสใหญ่กว่านั้นเป็นลำดับสุดท้ายนั่นเอง!

สำหรับบอสที่เราได้สู้กันนั้นก็มีหลายตัวเหมือนกันครับ แต่ที่เด่นๆ คือ Centipede Demon ที่เป็นมอนสเตอร์ดึ๊กดึ๋ยขนาดใหญ่จาก Dark Souls! ที่มีการโจมตีคาดเดายากแถมพอชิ้นส่วนตัวของมันขาดก็ยังออกมาไล่งับเราต่อได้อีก แต่ก็ไม่มีอะไรที่สามารถเอาชนะความสามัคคีของพวกเราได้ครับ และการเติมอัลติเมตก็ค่อนข้างเร็วพอใช้ได้ ไม่ช้าจนเกินไป แปบๆ Duchess ของผมก็สามารถพาเพื่อนๆ ล่องหนได้ เช่นเดียวกับ Wylder ที่พุ่งชาร์จใส่จนบอสกระจุยเป็นอันผ่านพ้นวัน ส่วนผู้พิทักษ์พฤกษาและราชินีอมนุษย์จากภาคหลักก็มีโอกาสปรากฏตัว บอสใหญ่เหล่านี้รวมไปถึงบอสแรนด้อมและบอสตามฉากเมื่อสู้เสร็จจะได้รูนเยอะมาก (แคปอยู่ที่ 15 ในเดโม) อีกทั้งยังได้เลือกไอเทมหรือ Perk พิเศษแบบที่ไม่มีให้หาที่อื่น

ทุก ‘Run’ ของเรามันมีความแตกต่างกันทั้งหมดแม้จะเป็นแผนที่เดิม ไม่ว่าจะเป็นจุดเกิดของศัตรู บอสที่อาจจะแรนด้อมมาในฉากตั้งแต่ช่วงกลางวัน หรือไอเทมลับที่เราต้องไปหาในหอคอยลึกลับ และที่ผมอยากชื่นชมก็คือแม้เกมจะมีความเป็นแอ็กชันด้วยความเร็วของเกมที่เข้ามือมากขึ้นทั้งเรื่องการโจมตีที่ไวกว่าเดิม หรือกระทั่งการบังคับที่ให้อิสระผู้เล่นมากขึ้นอย่างการปีนป่าย ไปจนถึงการตัด Fall Damage ออก ทว่าความรู้สึกของการตะลุยโลกแห่งแดนมัชฌิมายังคงอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าหาพรที่เป็นจุดอัปเกรดเลเวลอย่างที่บอก การเจอ NPC พ่อค้าตามทาง และพวกแท่นหินซัมมอนบอสก็ยังมีเลย เพียงแค่พ้นสามคืน (ในเกม) ก็จะจบลง พาเรากลับสู่ล็อบบี้เพื่อไปตั้งค่าสกิลจากอัญมณีต่างๆ ที่ได้จากการจบเกมเพื่อช่วยปรับพาสสีฟสกิลและความสามารถของพวกฮีโร่ตั้งแต่เริ่มเกม

ความสนุกของเกมจึงเป็นเรื่องของการเดินทางใน Elden Ring ที่เปลี่ยนมาเป็นประสบการณ์แอ็กชันและเล่นได้ง่าย จบได้ไวใน 45 นาที แต่ยังให้อารมณ์เหมือนเกมต้นฉบับ (นึกภาพว่าเราเข้าไปเดินเล่นในดินแดนที่ไม่เคยรู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไร และเกมก็นำไปสู่บอสให้เอง สบ๊าย!) อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ความรู้เดิมมากเท่าไรก็เพลิดกับเกมได้เลยสบายๆ เพราะผู้เล่นใหม่จะได้รู้สึกถึงคำว่า ‘เฟลจนกว่าจะฟิน’ ได้อย่างรวดเร็วจากการวิ่งเพียงไม่กี่ ‘Run’ และสำหรับผมเองก็คิดว่า Nightrein นี่แหละจะเป็นเกมเซสชันสั้นๆ ที่เราหยิบมาเล่นเมื่อไรก็สนุกและเจอความแปลกใหม่ตลอดเวลา ฉันใดก็ดีอย่าลืมว่ารวมกันเราอยู่แยกหมู่เราตาย! เพราะการเก็บรูนนั้นจำเป็นต้องอยู่ใกล้กันและคอยช่วยเหลือต่อสู้ และถ้าใครคิดว่าเป็นเกมสั้นๆ ที่เล่นจบไม่มีดีเทลต้องคิดใหม่เลยเพราะเราจะต้องหาไอเทมใหม่ ชุดพาสซีฟสกิลใหม่ในทุกรอบการเล่น ประสบการณ์ที่ได้รับจึงไม่มีทางเหมือนกันเลย

เห็นแบบนี้แล้วทุกคนก็คงอดตื่นเต้นไม่ไหวที่จะได้ลองเล่นกันแล้วใช่ไหมครับ โดยผู้ที่ได้รับสิทธิ์การทดสอบ Elden Ring Nightreign รอบ Network Test จะได้เล่นกันครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ อดใจรอกันอีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะได้สนุกแล้วซึ่งสามารถติดตามข้อมูลการเข้าทดสอบเพิ่มเติมได้ที่นี่ และที่สำคัญต้องขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment Asia สำหรับโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบแบบจัดเต็มเลย! ส่วนโอกาสหน้าพวกเราจะมีความสนุกอะไรมาแบ่งปันอีกนั้นว่าแล้วขอเชิญมารับฟังกันที่นี่ ThisIsGame Thailand ได้เช่นเคยครับผม

เกี่ยวกับเกม Elden Ring Nightreign

เกมรูปแบบแอ็กชัน Souls-like ในธีมดาร์กแฟนตาซีจากโลกฉากหลังของเกมภาคหลักที่ถูกถ่ายทอดใหม่เพื่อประสบการณ์แบบ Co-op Multiplayer โดยเฉพาะ ผู้เล่นจะได้จับกลุ่มกับสมาชิกในทีมรวมสามคน เดินทางไปในแดนมัชฌิมาที่ ณ​ ตอนนี้ถูกบดบังด้วยภัยคุกคามแห่งความมืดมิดของยามราตรีจนเกิดมอนสเตอร์เลวร้ายบุกรุกเข้ามา ซึ่งตัวละครต่างๆ จะมีรูปแบบการนำเสนอสไตล์เกมเพลย์ที่ต่างกันด้วย

ตัวเกมจะมีกำหนดในวันที่ 30 พฤษภาคม ทั้งบน PlayStation 5, Xbox Series X|S และ PC พร้อมการรองรับภาษาไทยในเวอร์ชันสมบูรณ์