
ก่อนจะกลายเป็นหนึ่งในเกม RPG ที่น่าจับตามองอย่าง Clair Obscur: Expedition 33 เกมนี้เคยมีจุดเริ่มต้นที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุดมีคลิปวิดีโอเกมเพลย์เวอร์ชั่นต้นแบบเมื่อปี 2019 หลุดออกมาให้แฟนเกมได้เห็นกัน ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเพียงแค่แนวคิดในชื่อ We Lost
จุดเริ่มต้นของ Clair Obscur: Expedition 33 จาก Ubisoft สู่ทีมอินดี้
ในวิดีโอด้านบนนี้จะเล่าว่าเกม Clair Obscur: Expedition 33 ถือกำเนิดขึ้นในปี 2019 จากไอเดียของ Guillaume Broche ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ที่ Ubisoft กับโปรเจกต์ Might and Magic โดยเขาเชื่อว่าบริษัทจะไม่อนุมัติเกมแนวแปลกใหม่แบบนี้ จึงตัดสินใจลาออกเพื่อรวมทีมเล็ก ๆ กับ Tom Guillermin ผู้กำกับเกมอีกคน แล้วเริ่มพัฒนาเกมใน Unreal Engine 4
เกมเวอร์ชั่นต้นแบบของ Expedition 33 ที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นถึงความดิบดั้งเดิมของโปรเจกต์ ตัวละครยังไม่ละเอียด สิ่งแวดล้อมดูหยาบกร้าน และมีการใช้กราฟิกชั่วคราวหลายจุด แต่สิ่งที่น่าสนใจคือระบบต่อสู้แบบเทิร์นเบสที่เริ่มมีเค้าโครงแล้ว แม้จะยังไม่มี QTE (Quick Time Event) แบบในเกมเวอร์ชั่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบที่ได้รับคำชมมากที่สุดในเกม
จุดเด่นของการต่อสู้ที่ต้องอาศัยจังหวะ เช่น การกดปุ่มโจมตีให้ตรงเวลา เพื่อเพิ่มความแรง หรือป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้นึกถึงระบบในเกม Super Mario RPG บนเครื่อง SNES แต่ใน Expedition 33 ได้พัฒนาระบบนี้ให้มีความลึกและซับซ้อนยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงม็อดเสริมต่าง ๆ ของเกม Clair Obscur: Expedition 33 เช่นม็อดปลดล็อคเฟรมเรตในคัทซีน ปรับเอฟเฟกต์ Ray Tracing และม็อดที่ช่วยให้การหลบและป้องกันทำได้ง่ายขึ้นหรือยากขึ้นตามต้องการ รวมถึงม็อดเปลี่ยนตัวละครหลักเป็น 2B จาก NieR: Automata อีกด้วย
Clair Obscur: Expedition 33 เป็นเกมแนว RPG เทิร์นเบสแบบเรียลไทม์ที่ผู้เล่นเป็นกลุ่มนักเดินทางที่ได้รับมอบหมายในการตามหา The Paintress วายร้ายผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักวาดเขียนที่จะบัญญัติตัวเลขอายุในทุก ๆ ปี เพื่อคร่าชีวิตบุคคลใด ๆ ในอายุดังกล่าวให้หายไป และในปีนี้คือเลข 33 จึงทำให้ทุกคนต้องร่วมมือกันตามหาผู้อยู่เบื้องหลังและกำจัดเธอทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์วิปโยคอีกเป็นครั้งที่สอง โดยระบบการเล่นจะเป็นการป้อนคำสั่งเพื่อต่อสู้กับศัตรู และสามารถเคลื่อนไหวเพื่อหลบหลีกหรือต่อสู้กลับทำคอมโบได้ในเวลาเดียวกัน