
Epic Games Store อาจไม่ได้รับความนิยมเท่ากับ Steam จาก Valve แต่ Tim Sweeney CEO ของ Epic Games ก็ยังเชื่อมั่นในอนาคตของแพลตฟอร์มของตัวเอง แม้ว่าเขาจะยอมรับตรง ๆ ว่า ปัจจุบัน Launcher ของ Epic ยังช้ากว่าและใช้ทรัพยากรเครื่องมากกว่า ในการให้สัมภาษณ์กับ Lex Fridman ล่าสุด
หนึ่งในประเด็นที่ Sweeney พูดถึงคือ:
“การวางตำแหน่งของ Content Delivery Network (CDN) ของ Epic ยังไม่ครอบคลุมเท่า Steam”
ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานหลายรายพบปัญหาเมื่อเข้าถึง:
- การโหลดหน้าร้านช้า
- การดาวน์โหลดเกมล่าช้า
- การใช้ทรัพยากรระบบมากเกินไป แม้บนเครื่องระดับกลาง
Steam ใช้ CDN กระจายตัวทั่วโลก มีประสิทธิภาพในการโหลดข้อมูลเร็วขึ้น และใช้ทรัพยากรเครื่องน้อยกว่า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ
แม้ Epic Games Store จะมี UI/UX ที่ดูทันสมัยกว่า:
- รูปภาพใหญ่ขึ้น
- ออกแบบมาเพื่อดึงดูดสายตา
- เหมาะกับการเล่นบนหลายแพลตฟอร์ม
แต่การออกแบบแบบนี้ก็ส่งผลให้ Launcher เองกินทรัพยากรเครื่องมากกว่า โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ใช้คอมพิวเตอร์สเปกไม่สูง หรือใช้ Windows รุ่นเก่า
แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดทางเทคนิค แต่ Sweeney ยืนยันว่า:
“Epic กำลังสร้างระบบที่เน้นการเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ดีกว่า”
โดยยกตัวอย่างเกมอย่าง Fortnite , Rocket League และ Fall Guys ที่สามารถ:
- เล่นบน PC, Xbox, PlayStation และมือถือ
- โอนถ่ายความคืบหน้าระหว่างเครื่องได้
- ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม
Sweeney เชื่อว่าเทรนด์นี้จะยิ่งเติบโตเมื่อ Microsoft เปิดตัวคอนโซล Xbox ที่ทำงานบน Windows 11 เพราะจะช่วยให้เกมจากทั้ง Steam และ Epic ขยายไปสู่อุปกรณ์มากขึ้นกว่าเดิม
ตามรายงานหลายแห่ง จำนวนผู้ใช้ Steam ยังคงเหนือกว่า Epic อย่างเห็นได้ชัด:
- ฐานผู้ใช้ใหญ่กว่า
- จำนวนเกมมากกว่า 30,000 เกม
- ฟีเจอร์ครบครัน เช่น Remote Play, Workshop, Cloud Save
ในขณะที่ Epic Store ยังขาด:
- เครื่องมือค้นหาที่แม่นยำ
- ความสามารถในการคัดกรองเกมที่ละเอียดพอ
- ประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วพอจะแย่งตลาดจาก Steam
Epic Games Store ยังคงมีจุดแข็งที่ชัดเจน:
- แจกเกมฟรีทุกสัปดาห์ รวมถึงเกม AAA หลายเกม
- แบ่งรายได้ให้ผู้พัฒนามากขึ้น จากเดิม 70% ของรายได้ ตอนนี้นักพัฒนาได้ 88% หลังจากค่าธรรมเนียม 12%