5 เหตุผลที่ทำให้เรายังคิดถึงเกมวัยเด็กอยู่เสมอ
เกมวัยเด็กนั้นดีจริง หรือว่าเราแค่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ?

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวเกมเมอร์ทุกท่าน เพื่อน ๆ จำได้ไหมครับ วันที่เรานั่งอยู่หน้าทีวีจอหนา ๆ ถือจอยสั่น ๆ ในมือ แล้วเสียงเปิดเกมที่คุ้นหูดังก้องขึ้นมา โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน เหลือเพียงเรากับตัวละครตรงหน้า เกมในวัยเด็กไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่มันคือความทรงจำที่หล่อหลอมเราให้เป็นเราในวันนี้ แม้เทคโนโลยีจะก้าวไกล ภาพจะคมชัดจนแทบหลุดออกมาจากจอแล้วในทุกวันนี้ แต่เหตุผลที่เรายังหวนกลับไปคิดถึงเกมเก่า ๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะเกมเหล่านั้นดีที่สุดในเชิงเทคนิค ทว่ามันดีที่สุดในใจเราเสมอ เพราะมันคือช่วงเวลาที่เราได้เล่น “ด้วยหัวใจ” มากกว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ครับ เราไปดูเหตุผลที่ทำให้เรายังคิดถึงเกมวัยเด็กอยู่เสมอกันดีกว่า
1. เกมวัยเด็กคือประตูแรกของจินตนาการ

ก่อนที่โลกแห่งความจริงจะเต็มไปด้วยตัวเลขและความคาดหวัง เกมวัยเด็กคือสิ่งที่เปิดประตูให้เราได้ออกไปผจญภัยในจินตนาการที่ไร้ขอบเขต มันอาจเริ่มจากภาพพิกเซลหยาบ ๆ หรือโมเดลเหลี่ยม ๆ ที่แทบแยกไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่ในสายตาของเด็กคนนั้น ทุกอย่างกลับมีชีวิต โลกในเกมคือพื้นที่ที่เราได้เป็นฮีโร่ ได้สร้างฟาร์ม ได้เลี้ยงมอนสเตอร์ หรือได้ช่วยเจ้าหญิงที่ไม่มีอยู่จริง แต่ทำให้เรายิ้มได้ จินตนาการที่เกมเหล่านั้นมอบให้ กลายเป็นรากฐานของความคิดสร้างสรรค์ในวันนี้ และบางครั้ง เมื่อเรามองย้อนกลับไป ก็จะรู้ว่าเกมในวัยเด็กไม่ได้สอนให้เราแค่ “เล่น” แต่มันสอนให้เรา “ฝัน” ด้วยหัวใจจริง ๆ ครับ
2. แม้เสียงและภาพจะไม่สมบูรณ์ แต่สมบูรณ์ในใจเราเสมอ

ในยุคที่กราฟิกยังไม่สมจริง และเสียงประกอบยังเป็นเพียง MIDI แห้ง ๆ จากชิปเสียงเครื่องเกมเก่า ๆ แต่เรากลับรู้สึกว่าเพลงมันเพราะสุด ๆ เท่าที่เคยได้ยิน เสียงเปิดเครื่อง PlayStation ที่ดังขึ้นพร้อมโลโก้สีขาวบนพื้นดำ เสียงเท้าเดินใน Final Fantasy หรือทำนองอบอุ่นจาก Harvest Moon ทั้งหมดนั้นกลายเป็นร่องรอยทางอารมณ์ที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ภาพอาจไม่คม แต่เรากลับมองเห็นความสวยงามมากกว่าที่ตาเห็น เพราะตอนนั้นเราเติมเต็มด้วยจินตนาการของตัวเอง เกมไม่ได้ต้องการกราฟิกระดับ 4K เพื่อเข้าถึงใจคน มันเพียงต้องการ “ความรู้สึกจริง” ที่ผู้เล่นรับรู้ได้ แม้จะผ่านเวลามานานแค่ไหน เสียงและภาพเหล่านั้นก็ยังคงก้องอยู่ในใจเสมอครับ
3. ตอนนั้นเราเล่นด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพื่อเป้าหมาย

ย้อนกลับไปในวันนั้น เราไม่ได้เล่นเกมเพราะอยากแข่งกับใคร ไม่ได้สนใจแรงค์ ไม่ได้ตามหาเมต้าหรือเปิด Tier List เช็คความเก่ง หรือกลัวที่จะ “แพ้” เหมือนยุคนี้ สิ่งที่เราต้องการมีเพียงความสนุกตรงหน้าเท่านั้น การผ่านด่านหนึ่งได้ หรือการจับโปเกมอนได้อีกตัว ก็เพียงพอให้เรายิ้มออกทั้งวัน เกมในวัยเด็กจึงกลายเป็นพื้นที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดของคำว่าการเล่น ไม่มีการวัดผล ไม่มีการเปรียบเทียบ มีเพียงความสุขที่มาจากการค้นพบ การลองผิดลองถูก และความภูมิใจเล็ก ๆ ที่เราเป็นคนทำมันได้เอง ทุกครั้งที่เราหวนคิดถึงเกมเหล่านั้น เราไม่ได้คิดถึงเพียงตัวเกม แต่คิดถึง “ความรู้สึก” ที่เราเคยเล่นด้วยหัวใจต่างหากครับ
4. เกมคือเพื่อนในวันที่โลกเงียบเหงา

ในวันที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ หรือวันที่โลกภายนอกดูวุ่นวายเกินไป เกมคือเพื่อนคนเดียวที่อยู่ข้างเราเสมอ มันไม่ตัดสิน ไม่พูดมาก แค่เปิดเครื่องแล้วก้าวเข้าสู่โลกนั้น เราก็เหมือนได้มีใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน พาเราออกไปผจญภัยในที่ที่ไม่มีใครพาไปได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มเล็ก ๆ ใน Harvest Moon มิตรภาพใน Digimon World หรือทีมที่เราสร้างเองใน Pokémon ตัวละครเหล่านั้นอาจไม่มีชีวิตจริง แต่ความรู้สึกที่เราใช้เวลาอยู่กับพวกเขานั้นจริงที่สุด เกมจึงไม่ใช่แค่สิ่งหลบหนีจากความเหงา แต่มันคือที่พึ่งทางใจ ที่คอยบอกเราว่า ต่อให้โลกเงียบแค่ไหน ก็ยังมีที่หนึ่งที่เรารู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวครับ
5. ลึก ๆ แล้วเราอยากกลับไปเป็นเด็กคนนั้นอีกครั้ง

เมื่อเราหวนคิดถึงเกมวัยเด็ก มันอาจไม่ใช่เพียงเพราะเกมนั้นสนุกที่สุด แต่เพราะเราคิดถึงตัวเราในตอนนั้นต่างหาก เด็กที่หัวเราะได้ง่าย แค่เห็นตัวละครเดินข้ามแม่น้ำก็รู้สึกตื่นเต้น เด็กที่นั่งเล่นเกมทั้งวันโดยไม่รู้สึกผิด เพราะมันคือโลกเล็ก ๆ ที่ทำให้เรามีความสุขได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล ทุกวันนี้ แม้เราจะมีเกมที่สมจริงขึ้น เล่นออนไลน์กับคนทั่วโลกได้ แต่ความรู้สึกแบบตอนนั้นกลับหายากขึ้นทุกที ในขณะที่โลกแห่งความจริงก็บั่นทอนกำลังใจเราเรื่อย ๆ ดังนั้นลึก ๆ แล้วเราไม่ได้อยากกลับไปเล่นเกมเก่าเพียงอย่างเดียว แต่เราอยากย้อนกลับไปเป็นตัวเราในวันนั้น วันที่เชื่อในความสุขเล็ก ๆ ว่ามันมีอยู่จริงครับ
บางทีสิ่งที่เราคิดถึงจากเกมวัยเด็ก อาจไม่ใช่แค่ตัวเกม แต่คือช่วงเวลาที่เรายังเชื่อว่าความสุขหาได้ง่ายกว่านี้ เกมเหล่านั้นกลายเป็นไทม์แคปซูลที่เก็บความรู้สึกของเราตอนยังไร้เดียงสาไว้ครบทุกหยด และเมื่อใดที่เรากลับไปเปิดมันอีกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านจอทีวีเก่าหรือ Emulator ในโทรศัพท์ มันก็ยังส่งกลิ่นอายของวันเก่ากลับมาเหมือนเดิม เราอาจจะโตขึ้น เปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ความทรงจำในวันนั้นจะยังอยู่ เพราะในใจลึก ๆ เราทุกคนต่างก็ยังมี “เด็กที่รักการเล่นเกม” ซ่อนอยู่เสมอครับ







