6 IP เกมที่ผู้เล่นเริ่มกังวลว่าจะออกมาไม่ดีเมื่อมีภาคใหม่
เกมดังไม่ได้แปลว่าเกมดี ผ่านมาหลายภาคคนเริ่มตั้งการ์ดกันแล้ว

สวัสดีเพื่อน ๆ ชาวเกมเมอร์ทุกท่าน ถ้าพูดถึงเรื่องเกมเนี่ย ก็ไม่ใช่ทุก IP เกมที่มีชื่อเสียงมายาวนานจะสามารถรักษามาตรฐานไว้ได้เสมอ แม้จะมีฐานแฟนเหนียวแน่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนทีมพัฒนา เปลี่ยนแนวทางเกม หรือแม้แต่แรงกดดันทางการตลาด ก็อาจทำให้เกมภาคใหม่กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างหนัก จากความคาดหวังกลายเป็นความกังวล ทุกครั้งที่มีประกาศ “ภาคใหม่” แฟน ๆ จึงไม่ตื่นเต้นเสมอไป และบางเกมอาจจะถึงกับตั้งการ์ดไว้เลยก็ได้ว่าจะออกมาแย่กว่าเดิมหรือเปล่านะ และนี่คือ 6 แฟรนไชส์เกมชื่อดัง ที่แฟนเกมทั่วโลกมักอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า “รอบนี้จะพังอีกไหมนะ?”
1. Final Fantasy – เมื่อแฟนตาซีที่เคยเป็นตำนาน กลายเป็นความลังเลใจ

Final Fantasy เคยเป็นชื่อที่การันตีคุณภาพของ JRPG ทั้งในแง่เนื้อเรื่อง ระบบต่อสู้ และดนตรีที่ตราตรึงใจ แต่ในช่วงหลังกลับเริ่มมีเสียงวิจารณ์มากขึ้น โดยเฉพาะภาค XV และ XVI ที่เปลี่ยนแนวทางจากเกมเทิร์นเบสเป็นแอ็กชั่นเต็มตัว เนื้อเรื่องถูกมองว่าขาดความลุ่มลึก ซ้ำซากจำเจ การเล่าเรื่องกระจัดกระจาย และความเป็น “แฟนตาซีสุดคลาสสิก” แบบภาคเก่า ๆ ก็เริ่มจางหายไป ปัญหานี้สะท้อนถึงแนวโน้มการพัฒนาเกมที่เน้นภาพสวยและระบบการต่อสู้สุดเท่ แต่ละเลยจิตวิญญาณดั้งเดิมของซีรีส์ ทำให้แฟน ๆ รุ่นเก่าเริ่มลังเลว่า Final Fantasy ภาคใหม่จะยังมี “หัวใจแบบเดิม” เหลืออยู่หรือไม่ ยิ่งเกมมือถือที่ใช้ชื่อ Final Fantasy ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เปิดมาแป๊บเดียวก็ปิดให้บริการแล้ว
2. Pokémon – จากความทรงจำวัยเด็ก สู่คำถามเรื่องคุณภาพ

Pokémon เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมที่ขายดีที่สุดในโลก และมีแฟนคลับทุกเพศทุกวัยติดตามมาตั้งแต่ยุค Game Boy แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคาดหวังกลับสวนทางกับคุณภาพที่ได้รับ โดยเฉพาะภาค Sword/Shield และ Scarlet/Violet ที่ถูกวิจารณ์หนักเรื่องกราฟิกล้าสมัย บัคจำนวนมาก และการออกแบบบางอย่างที่ดูรีบเร่งเกินไป หลายสิ่งในเกมใหม่ไม่ถูกใจแฟน ๆ จนแฟน ๆ หลายคนเริ่มรู้สึกว่า Game Freak ไม่พยายามผลักดันมาตรฐานเท่าที่ควร ทั้งที่มีทรัพยากรพร้อมทุกด้าน ทำให้ทุกครั้งที่มีภาคใหม่เปิดตัว เสียงเชียร์มักมาพร้อมกับคำว่า “ขอให้ไม่พังนะ” อยู่เสมอ
3. Assassin’s Creed – วิสัยทัศน์กว้างไกล แต่จุดยืนที่เริ่มสั่นคลอน

Assassin’s Creed เคยเป็นเกมที่ได้รับคำชมเรื่องการผสมผสานประวัติศาสตร์กับเกมเพลย์ได้อย่างลึกซึ้ง แต่ในช่วงหลัง ซีรีส์เริ่มเบี่ยงเบนจากแก่นเดิม ทั้งการเล่าเรื่องที่อ่อนลง และการใส่ประเด็นร่วมสมัยลงไปในเกมมากเกินไป โดยเฉพาะภาคล่าสุด Assassin’s Creed Shadows ที่ผู้เล่นรับบทเป็นซามูไรผิวสี ท่ามกลางยุคญี่ปุ่นโบราณ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความไม่สมจริงทางประวัติศาสตร์ หลายคนมองว่า Ubisoft พยายามยัดเยียดแนวคิด Woke จนบิดเบือนวัฒนธรรมต้นฉบับ ความขัดแย้งระหว่างความถูกต้องทางประวัติศาสตร์กับความหลากหลาย กลายเป็นจุดที่ทำให้แฟนเกมลังเลใจว่า AC ยังเป็นเกมที่เคารพบริบทเดิมอยู่หรือไม่
4. Battlefield – สนามรบที่เคยยิ่งใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยความผิดหวัง

Battlefield เคยเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมยิงที่โดดเด่นเรื่องสงครามขนาดใหญ่ แผนที่กว้าง ระบบทำลายสิ่งก่อสร้าง และการเล่นแบบทีมที่เข้มข้น แต่หลังจากภาค Battlefield 2042 เปิดตัวด้วยปัญหามากมาย ทั้งบัคที่น่าหงุดหงิด ระบบคลาสที่ถูกตัดออก การออกแบบ UI ที่ไม่เป็นมิตร และเนื้อหาที่น้อยเกินคาด ทำให้แฟน ๆ รู้สึกว่า DICE และ EA เร่งรีบเกินไปและละเลยคุณภาพที่เคยเป็นจุดแข็งของซีรีส์ ความไว้วางใจที่เคยมีกลับถูกแทนที่ด้วยความลังเลว่า “ภาคหน้าจะซ้ำรอยอีกหรือเปล่า?” แม้จะพยายามแก้ไขในภายหลัง แต่ความศรัทธาที่เสียไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจะเรียกกลับมา
5. Dragon Age – เมื่อโลกแฟนตาซีกลายเป็นเวทีอุดมการณ์

Dragon Age เคยเป็นหนึ่งในซีรีส์ RPG ที่แฟน ๆ ยกย่องว่าเขียนบทดี มีความลึกในตัวละคร และนำเสนอโลกแฟนตาซีที่จริงจังและซับซ้อน แต่เมื่อภาคใหม่ Dragon Age: The Veilguard เปิดตัว แฟน ๆ กลับรู้สึกว่าเกมเริ่มหลุดจากจุดยืนเดิม โดยเฉพาะประเด็น Woke ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างจงใจ เช่น ตัวละครที่ระบุว่าตนเองเป็น Non-binary ทั้งที่เนื้อเรื่องเกิดในโลกแฟนตาซียุคโบราณ ซึ่งยังไม่มีแนวคิดแบบนี้ในวัฒนธรรมดั้งเดิม ความพยายามผลักดันความหลากหลายแบบไม่สนโครงสร้างของโลกแฟนตาซี ทำให้แฟนเกมจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ฝืน” และตั้งคำถามว่าพวกเขากำลังทำเกม RPG หรือนำเสนออุดมการณ์ทางสังคมกันแน่ ทำให้ Dragon Age กลายเป็น IP ที่ถูกจับตามองด้วยความลังเลมากกว่าความตื่นเต้นครับ
6. Ragnarok Online – ชื่อเป็นตำนาน แต่ไม่นานก็มีภาคใหม่อีกแล้ว

Ragnarok Online ถือเป็นหนึ่งในเกมออนไลน์ระดับตำนานของไทยและทั่วโลก ที่สร้างฐานแฟนเหนียวแน่นมาตั้งแต่ยุค 2000s แต่เมื่อเกมมือถือภายใต้ชื่อเดียวกันเริ่มเปิดตัวและได้รับความนิยม แฟนเก่าหลายคนเริ่มกังวลกับแนวทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เกมมือถือหลายภาคมักเน้นระบบเติมเงินและไอเทมที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในการเล่น ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าถูกบีบบังคับให้เสียเงินเพื่อความก้าวหน้า แทนที่จะสนุกกับเนื้อหาหรือระบบเกมที่แฟร์ นี่กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้แฟน Ragnarok Online รุ่นดั้งเดิมไม่ค่อยเชื่อมั่นในเกมใหม่ ๆ ภายใต้ชื่อเดียวกัน และกังวลว่าอนาคตของซีรีส์อาจจะเน้นแต่รายได้มากกว่าคุณภาพเกมครับ
แม้แฟรนไชส์เกมชื่อดังเหล่านี้จะเคยสร้างความทรงจำที่ดีและมีฐานแฟนเหนียวแน่น แต่ความเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ทีมพัฒนา แนวทางการออกแบบเกม หรือการนำประเด็นร่วมสมัยมาผสมผสาน ทำให้แฟน ๆ เริ่มตั้งคำถามและกังวลเกี่ยวกับคุณภาพในภาคใหม่ ๆ ทุกครั้งที่มีข่าวประกาศ วงการเกมจึงต้องเรียนรู้และปรับตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ความไว้วางใจจากแฟนคลับต้องจางหายไปตามกาลเวลาครับ 🙂