
Tales of Grace f Remastered เกมฉลองครบ 30 ปีซีรีส์ที่อยู่ในโครงการ Project Remastered เป็นอีกหนึ่งเกมที่ทาง This Is Game Thailand ได้รับโอกาสพิเศษจากทาง Bandai Namco ในการเข้าร่วมทดลองเล่นเกมดังกล่าวแบบ Exclusive โดยผู้เขียนได้มีโอกาสเล่นในช่วงของการผจญภัยในภูมิภาค Strahta และภายในท้องของ Rockgagong และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาพบกับ 5 ความประทับใจที่ผู้เขียนได้รับจากการที่มีโอกาสทดลองเล่น Tales of Grace f Remastered รอบ Hands-on กันครับ
5 ความประทับใจจากการทดลองเล่น Tales of Grace f Remastered รอบ Hands-on
1. ระบบ QoL ที่ถูกอัปเกรดขึ้นมาได้โดนใจ

สิ่งแรกที่เราไม่พูดถึงเลยไม่ได้เลยก็คือ การอัปเกรด Quality of Life ของเกมที่ถูกใส่เข้ามาได้ดีโดนใจเหมาะกับผู้เล่นเกมยุคใหม่มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระบบการข้ามฉากพูดคุยของตัวละครที่ทำให้ผู้เล่นประหยัดเวลาไปได้ในระดับหนึ่ง (แต่ผู้เขียนไม่เชียร์ให้ข้ามเนื้อเรื่องนะครับ เพราะมันสนุกมาก) แต่สิ่งที่ผู้เขียนประทับใจจริง ๆ และต้องหยิบมาพูดถึงเลยก็คือ ระบบมาร์คเกอร์บอกเป้าหมายที่เราจะต้องไป ซึ่งเป็นระบบที่เกมในปัจจุบันนี้มีมาให้แทบจะทุกเกม แต่ด้วยความที่เกม Tales of Grace f เป็นเกมที่วางจำหน่ายให้เล่นตั้งแต่ยุค PS3 ทำให้ระบบนี้ไม่มีมาในเวอร์ชั่นออริจินัล ทำให้การเล่นเกมนี้ค่อนข้างจะฮาร์ดคอร์ไปสักนิด แต่การที่เกมเวอร์ชั่น Remastered ได้ใส่ระบบนี้เข้ามาก็ทำให้เราเล่นเกมนี้ได้ง่ายขึ้นมาก ๆ
อีกหนึ่งระบบที่ถูกเพิ่มเข้ามาแล้วผู้เขียนค่อนข้างรู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ การปิดระบบเผชิญหน้า (Encounter) กับศัตรู โดยการปิดระบบการเผชิญหน้ากับศัตรูนี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถออกสำรวจโลกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อผู้เล่นวิ่งไปชนกับศัตรูที่วิ่งอยู่บนแผนที่ก็จะทำให้เกมตัดเข้าสู่ฉากต่อสู้ทันที แต่เมื่อผู้เล่นปิดระบบนี้ลงไปก็จะทำให้ตัวละครของเรานั้นวิ่งผ่านตัวศัตรูไปได้แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาต่อสู้หรือวิ่งหลบแต่อย่างใด ซึ่งระบบนี้เองก็เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการสำรวจแผนที่เพื่อตามหาสมบัติหรือไอเทมที่ถูกซ่อนอยู่โดยที่ไม่ถูกรบกวนจากศัตรูที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในฉากนั่นเอง จากการที่ได้ทดลองใช้ระบบนี้ด้วยตนเองทำให้ผู้เขียนประทับใจระบบนี้มาก ๆ และคิดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งระบบที่สายสำรวจโลกต้องประทับใจเช่นกัน
นอกจากนี้ทางผู้พัฒนาเกมยังได้ใส่ Grade Shop เข้ามาให้เราได้ใช้งานกันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้ก็จะช่วยให้ผู้เล่นสนุกกับเกมได้มากขึ้น หากใครที่รู้สึกว่าเกมยากเกินไป อยากได้ตัวช่วยก็แวะมาใช้งานร้านค้านี้ได้นะครับ เพราะจากที่ผู้เขียนได้เล่นดูก็มีไอเทมตัวช่วยเยอะพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้เล่นหลาย ๆ คนเข้าถึงเกมได้มากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
2. กราฟิกที่ถูกอัปเกรดมาทำได้ดีขึ้นสำหรับเกม Remastered

ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าเกม Remastered เป็นเกมที่ถูกอัปเกรดขึ้นมาในทุก ๆ ด้าน และหนึ่งในองค์ประกอบที่ถูกอัปเกรดขึ้นมาอย่างแน่นอนก็คือ กราฟิกภายในเกม แน่นอนว่าภายในเกม Tales of Grace f Remastered นี้ทางผู้พัฒนาก็ไม่พลาดที่จะอัปเกรดกราฟิกให้ดูดีขึ้นเพื่อให้ผู้เล่นเล่นเกมได้อย่างสนุกมากขึ้นนั่นเอง
แน่นอนว่าการ Remastered คงไม่ใช่การเปลี่ยนกราฟิกทั้งหมดแบบ 100% แต่ถ้าเทียบกับความคลาสสิคที่มีตั้งแต่ยุค PS3 แล้ว เกมนี้ก็ถือว่าอัปเกรดกราฟิกออกมาได้สวยงามคมชัดขึ้นเป็นอย่างมาก อะไรที่เคยเบลอหรือจางไปในสายตาของเรา ก็ถูกทำออกมาให้คมชัดมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงอนิเมชั่นของตัวละครและความลื่นไหลในการเล่นก็ถือว่าสมูธขึ้นแบบสุด ๆ ทำให้ผู้เขียนมองว่าเกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกม Remastered ในยุคใหม่ที่ทำออกมาได้ดีน่าประทับใจ และมั่นใจว่าแฟนเกมยุคเก่าที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนจะต้องชอบอย่างแน่นอน
3. เกมเพลย์แอ็กชั่นแบบต้องบริหารเล็กน้อย ที่สลับตัวละครได้ทุกเมื่อ

สำหรับเกมเพลย์ของเกมนี้ยังคงเป็นแบบเดิมอยู่นั่นก็คือ การโจมตีคอมโบอย่างต่อเนื่องเพื่อทำดาเมจให้ได้มากที่สุดอย่างไรก็ตามเกมนี้ไม่ได้มาเป็นแบบแอ็กชั่น Hack ‘n Slash ที่ผู้เล่นปลดปล่อยคอมโบได้อย่างจัดเต็มไม่มีกั๊ก เพราะผู้เล่นจะต้องคอยบริหารจัดการแต้มในการต่อสู้ด้วย โดยตัวละครแต่ละตัวจะมีแต้มที่ใช้ในการต่อสู้แตกต่างกันออกไป ทุกการโจมตีจะต้องใช้แต้มเหล่านั้นในการออกแอ็กชั่น รวมไปถึงสกิลอย่าง A-Arte และ B-Arte ก็จำเป็นที่จะต้องใช้แต้มมากกว่าปกติในการออกแอ็กชั่นนั่นเอง ซึ่งแม้ว่าช่วงแรกอาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้สักหน่อย แต่เมื่อชินมือแล้วรับรองว่าเล่นได้สนุก และผู้เขียนเองก็สามารถปล่อยคอมโบได้อย่างต่อเนื่องแทบไม่ต่างจากเกมแอ็กชั่น Hack ‘n Slash เลยทีเดียว
นอกจากนี้ตลอดการต่อสู้ผู้เล่นยังสามารถสลับตัวละครไปยังตัวละครอื่น ๆ ในทีมได้ด้วย ซึ่งจุดนี้เองก็จะมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่สนุกสนานและแตกต่างออกไปอยู่เรื่อย ๆ เพราะตัวละครแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปไม่จำเป็นว่าผู้เล่นจะต้องเลือกแต่ Asbel (ตัวละครหลัก) ที่หยิบดาบแล้ววิ่งเข้าไปฟาดฟันอย่างเดียว ผู้เล่นสามารถเลือกตัวละครสายสนับสนุนอย่าง Cheril เพื่อฮีลเพื่อนก็ได้ หรือผู้เล่นจะเลือกเป็นตัวละครสายโจมตีระยะไกลอย่าง Malik เพื่อทำการโจมตีสนับสนุนเพื่อนจากระยะไกลก็ได้เช่นกัน รวมไปถึงระบบ Accelerate Mode ก็ยังถูกนำกลับมาใช้งานภายในเกม Remastered นี้ด้วย โดยโหมดนี้จะทำให้ตัวละครของเราต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ทำให้เกมนี้กลายเป็นเกมที่มีเอกลักษณ์ในการต่อสู้ไม่เหมือนเกมอื่นนั่นเอง
4. ระบบ AI ที่ตั้งค่าได้ค่อนข้างละเอียด มีประโยชน์อย่างมาก

นอกเหนือจากการคอมโบต่อเนื่องและการสลับตัวละครแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่เกมนี้มีและทำให้ผู้เขียนประทับใจไม่แพ้กันก็คือการตั้งค่า AI ของตัวละครร่วมทีม เพราะตลอดการต่อสู้นั้นเราจะได้ควบคุมตัวละครเพียงแค่ตัวเดียวตัวละครที่เหลือภายในทีมจะถูกควบคุมด้วย AI ซึ่งคงจะไม่ดีแน่หาก AI ทำทุกอย่างตามใจจนเกินไปซึ่งเกมนี้รองรับการตั้งค่า AI แบบละเอียดพอสมควรไม่ว่าจะเป็น โฟกัสศัตรูที่จะโจมตีสามารถเลือกได้มากถึง 10 แบบ เช่น ตามใจ AI, โจมตีตามหัวหน้าทีม, เน้นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด, เน้นลดจำนวนศัตรู, เน้นยกเลิกการร่ายเวทย์ของศัตรู และอื่น ๆ อีกเพียบ นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกสไตล์การต่อสู้ได้ 5 รูปแบบ, บาลานซ์ของการต่อสู้ว่าจะเน้นการโจมตีแบบ A-Arte, B-Arte หรือผสม รวมไปถึงเลือกความถี่ในการป้องกันได้ด้วย
และจากที่ผู้เขียนได้ลองตั้งค่าเพื่อนร่วมทีมอย่างละเอียดแล้วก็พบว่า AI ภายในเกมนี้มีความฉลาดอยู่พอสมควร ซึ่งจุดนี้เองทำให้การเล่นเกมนี้ไม่หงุดหงิดเพราะทุกอย่างจะต้องพึ่งที่ตัวเราคนเดียว แต่ตัวละครภายในทีมก็มีประโยชน์ในการต่อสู้ในแบบของพวกเขาตามที่เราตั้งค่าไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากเราตั้งค่าได้ดี เหมาะสมกับสถานการณ์ก็จะทำให้การต่อสู้นั้นง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่ที่ผู้เขียนประทับใจไปมากกว่านั้นก็คือผู้เล่นสามารถตั้งค่าให้ตัวละครที่เราควบคุมนั้นต่อสู้ด้วยการปลดปล่อยถ้า Arte ต่าง ๆแบบอัตโนมัติได้ด้วย ซึ่งจากที่ผู้เขียนลองตั้งค่าดูก็พบว่าการตั้งค่าดังกล่าวทำให้ตัวละครของเราต่อสู้แบบอัตโนมัติแทบจะ 100% (ผู้เขียนตั้งค่าให้ป้องกันบ่อยมาก ๆ และใช้ A-Arte และ B-Arte ทั้งคู่) ส่งผลให้ตัวละครเราเน้นยืนตั้งรับ พอแต้มต่อสู้เต็มก็วิ่งเข้าไปโจมตีศัตรูรัว ๆ แล้วก็ป้องกันใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก ๆ
5. ยังคงความเป็นเกม JRPG คลาสสิค ออกมาได้เป็นอย่างดี

องค์ประกอบสุดท้ายก็เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกมเพลย์เท่าไหร่ แต่ผู้เขียนถือว่าเป็นจุดเด่นที่อยากจะนำมาพูดมาก ๆ นั่นก็คือความเป็นเกม JRPG ที่ยังคงความคลาสสิคไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะมุกตลกในบทสนทนาต่าง ๆ รวมไปถึงการแสดงออกของตัวละครที่เน้นตบมุกโบ๊ะบ๊ะที่ถูกใส่เข้ามาให้เราได้พบเจอตลอดการเล่นเกม และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่าเกมเมอร์ชาวไทยที่เติบโตมากับเกม JRPG จะต้องมีความสุขในการเล่นเกมนี้อย่างแน่นอน
และความสุขนี้ถูกเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการที่ทางผู้พัฒนาเกมได้เพิ่มซับไตเติ้ลของตัวละครที่พูดคุยกันหลังการต่อสู้ให้เราได้ติดตามกันด้วย ซึ่งต้องขอเท้าความก่อนว่าทุกครั้งหลังเราเสร็จสิ้นการต่อสู้จะมีฉากที่ตัวละครออกมาพูดคุยกันระหว่างสรุปผลการต่อสู้ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งก็จะเป็นมุกตลกที่เรียกเสียงหัวเราะได้ ซึ่งในเกมเวอร์ชั่นต้นฉบับนี้จะไม่มีซับไตเติ้ลในช่วงนี้ทำให้ผู้เล่นหลายคนไม่สามารถเก็ตมุกที่ถูกใส่เข้ามา แต่จากการที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่น และมีซับไตเติ้ลให้เราได้อ่านแบบชัดเจน ก็บอกเลยว่านั่งขำกับช็อตหลังการต่อสู้อยู่หลายครั้งหลายหนเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้ก็ถือว่าเป็นสีสันที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
Tales of Graces f Remastered เป็นอีกหนึ่งเกม Action RPG คลาสสสิคจากซีรีส์ในดวงใจของหลาย ๆ คนที่กลับมาอีกครั้งพร้อมกับกราฟิกที่สวยงามและระบบการเล่นที่ง่ายขึ้น แถมเกมยังมาพร้อมกับเนื้อเรื่องเพิ่มเติม Lineage and Legacies ซึ่งเป็นบทสรุปหลังจบเนื้อเรื่องหลักให้เราได้ติดตามกันด้วย มาออกผจญภัยในโลกแฟนตาซีและการเอาชนะอุปสรรคผ่านมิตรภาพและความมุ่งมั่นด้วยกันได้เลย!