[รีวิว] Silent Hill 2 (2024) บาป ตัณหา คำสัญญาในม่านหมอก

หมายเหตุ: ตัวเกมที่ได้นำมารีวิวครั้งนี้เป็นเวอร์ชัน PlayStation 5 และใช้งานด้วยโหมดแสดงผลกราฟิก Performance Mode เป็นหลัก ประสบการณ์การเล่นอาจแตกต่างกันไป

ไม่ใครก็ใครย่อมเคยมีรอยด่างพร้อยในชีวิตเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ แต่สำหรับ Silent Hill แฟรนไชส์เกมระทึกขวัญเชิงจิตวิทยาได้เลือกนำเสนอความจริงของโลกของนี้ได้ในรูปแบบชวนขนหัวลุก ซึ่งแต่ละภาคก็จะมีปมเรื่องราวแตกต่างกันไป ทว่าภาคที่ถือว่าแหวกแนวมากที่สุดก็เป็นภาคไหนไปไม่ได้นอกจาก Silent Hill 2 ที่หยิบเอาเรื่องที่แทบจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงได้ในชีวิตคนทั่วไปมาถ่ายทอดจนมีผู้เล่นให้ความสนใจมากมาย

ท่ามกลางกระแสการรีเมคเกมแนวสยองขวัญที่เกิดขึ้น Silent Hill ภาคนี้มักเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่อยู่ในลิสต์ของเกมที่ผู้เล่นทุกคนอยากได้ไม่ว่าจะด้วยดีไซน์การออกแบบตัวละคร เส้นเนื้อเรื่อง และเหล่าแคสต์ตัวเอกที่ทรงพลัง เมื่อครั้งที่มีการยืนยันว่า Bloober Team ค่ายเกมสยองขวัญจากยุโรปได้รับมอบหมายในการปัดฝุ่น ก็เลยทำให้เกมเมอร์ยิ่งจับตามองมากขึ้นไปอีกและคงปฏิเสธได้ยากว่าก็เป็นเรื่องกดดันของทีมพัฒนาเช่นกันที่ต้องรับเผือกร้อนที่เป็นผลงานมาสเตอร์พีซของแฟรนไชส์ ซึ่งวินาทีนี้เกมก็ได้มาถึงหน้าจอของทุกคนกันแล้วและเราก็ไม่พลาดที่จะนำความประทับใจนี้มาบอกเล่าในรีวิวอีกครั้ง

เรื่องราว Silent Hill 2 ที่ยังคลาสสิกเหนือกาลเวลา

เนื้อเรื่องของ Silent Hill 2 ถูกบอกเล่าด้วยเรื่องราวที่ดูติดดินและอาจเสี่ยงเกิดขึ้นกับใครก็ตามรอบตัว นั่นคือ James ชายหนุ่มเสมียนธรรมดาคนหนึ่งที่มีชีวิตคู่ร่วมกันกับหญิงสาว Mary อย่างมีความสุขจนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้เกิดอาการป่วยจากโรคปริศนาและมักนึกถึงความทรงจำเก่าๆ อย่างการเดินทางไปยังเมืองแสนสงบที่เคยเป็นที่สำคัญในความทรงจำที่ James เคยให้สัญญาเอาไว้ว่าจะพาเธอกลับไปเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างก็สายเกินไปเพราะสาวเจ้าเสียชีวิตลง และเมื่อผ่านไปสามปีสิ่งที่ตนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับจดหมายปริศนาจากภรรยาของตนว่ากำลังรอคอยอยู่

พล็อตข้างบนนี้ถูกเขียนขึ้นมามากกว่า 20 ปี แต่การหยิบมาพูดถึงในยุคปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ดูทันสมัยอยู่ ส่วนหนึ่งก็ด้วยความแข็งแรงของตัวบทเองแน่แท้ ทว่าการดึงศักยภาพของเรื่องราวเหล่านี้ออกมาพูดคุยในอีกสองทศวรรษให้หลังโดยที่มีความสดใหม่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่ง Bloober Team สามารถทำได้ดีมากๆ แม้จะมีไดอะล็อกเดิมหลายจุด ทว่าก็มีการดัดแปลงรวมไปถึงเพิ่มเติมซีนมากมายให้เราได้รู้จักตัวละครมากขึ้นกว่าเดิมทั้งตัว Angela หรือ Maria คนเหล่านี้ถูกทำให้เราเห็นความคิดความอ่านของพวกเขารวมไปถึงแรงจูงใจในการกระทำที่ชัดเจนกว่าเดิม แม้จะเป็นการดำเนินเรื่องตามเส้นเดิมเป๊ะๆ พูดให้เห็นภาพคือขยับขยายสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้มี nuance มากขึ้น

นอกจากนั้นแล้วหากยังจำกันได้ในเวอร์ชันต้นฉบับจะสลับกันระหว่างคัตซีนแบบ FMV เข้ากับโมเดลตัวละครเรียลไทม์ แต่คราวนี้ทุกอย่างเป็นภาพเรียลไทม์ทั้งหมด เมื่อเป็นตัวละครโมเดลที่สวยงามมากขึ้น รวมไปถึงการวางมุมกล้องใหม่ก็ให้อารมณ์ที่น่าติดตามยิ่งขึ้น ย่อยง่ายขึ้นด้วยครับ ส่วนนี้นี่เองก็สอดคล้องกับระบบการเล่นที่เป็นมิตรกับผู้เล่นด้วย ซึ่งก็กำลังจะพูดในส่วนต่อไปนั่นเองครับ!

เกมเพลย์ปรับปรุงให้ทันสมัย

สิ่งแรกที่เราได้เห็นทันทีเมื่อเปิดเกมก็คือมุมกล้องใหม่แบบ Over-the-shoulder ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของเกมแอ็กชันผจญภัยรวมไปถึงเกมสยองขวัญแล้ว ส่วนตัวคิดว่าจุดนี้ทำให้ความหลอนมันเข้าปะทะตรงหน้าได้มากกว่าเดิมจริงๆ เพราะแม้มุมกล้องแบบ Fixed-camera หรือกล้องวงจรปิดที่แช่กล้องนิ่งๆ จะได้ประโยชน์เวลาที่เราเจอมอนสเตอร์มากระโจนใส่ แต่ภาคใหม่นี้ก็ยังเซอร์ไพรส์ได้เหมือนเดิมอยู่ดีครับ และยังลื่นไหลมากกว่าเดิมด้วยการหมุนกล้องที่อิสระให้เราได้สำรวจรายละเอียดฉากรอบข้าง

นอกจากนั้นแล้วเกมยังปรับให้สามารถเล่นได้อย่างสะดวกมากขึ้น ซึ่งจะไม่ได้หมายความว่าง่ายเพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถเลือกรูปแบบการเล่นให้ตรงจริตของเราได้ทั้งหมด เช่นการปิดเมนู UI ที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกคลาสสิกในการตามหาเส้นทางเพียงแค่การสังเกตท่าทีของ James และอีกจุดที่รู้สึกว่าชื่นชอบก็คือการดูแผนที่ที่ James จะคอยจดเบาะแสต่างๆ ทำให้ได้อารมณ์การเดินทางโดยไม่จำเป็นต้องมีการระบุเป้าหมายแบบชัดเจนเลย และยังลงรายละเอียดไปถึงขั้นที่ว่าปรับความยากง่ายของปริศนาแยกกับส่วนแอ็กชันได้ หลายปริศนาใหม่ๆ เช่นการต่อบทกวีปลดล็อกกุญแจทำดีและเข้ากับธีมเรื่องมาก ปริศนาทุกอย่างมันจะผูกเข้ากับแกนเรื่องหมดเลย

ในส่วนของฟังก์ชันที่ทันสมัยและเพิ่มเข้ามาให้เข้าถึงได้ง่ายสำหรับสายที่ไม่ได้สมาทานความฮาร์ดคอร์ก็คือความรู้สึกที่เกมมีสเกลใหญ่มากขึ้น บ้านเรือนต่างๆ ที่อยู่ตามถนนสามารถเข้าไปแวะดูได้แถมเรายังเห็นการตอบสนองของตัวละครที่มีต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้นอย่างมีความมีชีวิตชีวากว่าเดิม ขณะเดียวกันความเป็นเกมแอ็กชันก็ใส่มาเต็มเลยครับเพราะว่าเวลาเราที่ฟาดฟันศัตรูด้วยไม้ตะปูเองก็หนึบสะใจ เป็นเกมแรกๆ เลยที่ Bloober Team ทำซีนการต่อสู้ที่จั๋งหนับได้ขนาดนี้ ขอปรบมือครับ

ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ความรู้สึกที่เราได้รับนั้นหากจะพูดว่ามันคือ Silent Hill ภาคสองแบบที่รู้จักกันหรือไม่ คำตอบก็ยังเหมือนเดิมคือใช่ แต่เป็น Silent Hill ในแบบที่เป็นมาตรฐานของยุคสมัยใหม่หลังจากที่หายกันไปหนึ่งเจ็นเต็มๆ ราวกับว่าทีมงานไปสั่งสมประสบการณ์เบื้องหลังมาเพื่อโชว์ของกันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นแน่นอนว่าอนิเมชันตัวละครการส่งอารมณ์มันก็ยอดเยี่ยมมากจริงๆ หลายฉากที่เพิ่มเข้ามาจะเห็นว่าเป็นการนำเอาสิ่งที่เคยเป็นรายละเอียดเล็กน้อยมาต่อยอด เช่นอาการติดเหล้าของ James ในคัตซีนหนึ่ง เราจะเห็นสายตาของเขากับมือที่ดูสั่นเทิ้มแต่ตนก็พยายามห้ามไว้ โอ้โห เล่นถึงระดับนี้เลย

เมื่อตัวละครทั้งหมดมีคัตซีนมากขึ้น และมีเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดทั้งเสียงพากย์ อนิเมชันได้ดีขึ้น บาปในใจของพวกเขารวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาได้เจออยู่มันก็เลยประจักษ์ตรงหน้าแบบที่เราจะรู้สึกทั้งเห็นใจ สังเวช และพะอืดพะอมกันในเวลาเดียวกัน แต่ใดๆ มันก็สร้างคำถามให้เราอีกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์เราหรือเปล่า และเราเองเป็นส่วนที่เพิกเฉยต่อมันจนทำให้เรื่องพวกนี้เป็นเหมือนแค่เรื่องเล่าธรรมดาใช่ไหม? เพียงแค่ตัวละครเดียวอย่างเช่น Angela เธอยังฝากปมที่เล่าต่อถึงโครงสร้างสังคมได้เลย จุดนี้อย่าลืมไปติดตามกันในอีกคอลัมน์ที่ฝากไว้ด้านล่างครับ

กราฟิกและเพลงประกอบ

ด้วยขุมพลังของ Unreal Engine 5 ทำให้ตัวเกมถูกเนรมิตขึ้นมาด้วยโมเดลคุณภาพสูงทั้งตัวละครและฉากหลังล้วนมีการให้รายละเอียดที่สูงมากๆ รวมไปถึงเอฟเฟกต์หมอกและเงาที่เป็นหมอกจริงๆ เช่นเดียวกับบรรยากาศของเมืองที่เราจะพบว่ามันดูชื้นๆ แฉะๆ มีเงาสะท้อนของน้ำบนถนนอย่างสวยงามเพื่อความรู้สึกที่สมจริงมากขึ้นเมื่อเราได้เห็นภาพตรงหน้าด้วยมุมกล้องแบบ Over-the-shoulder ที่ออกแบบมาในเวอร์ชันนี้

แต่ทั้งหมดทั้งปวงจะไม่สามารถก้าวเข้าสู่คำว่าสมบูรณ์แบบได้เลยหากไม่มีเพลงประกอบจาก Akira Yamaoka ผู้ประพันธ์เพลงคู่บุญของซีรีส์ซึ่งได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยเพลงจากภาคดั้งเดิมได้รับการเรียบเรียงใหม่ และแม้จะยังคงมีกลิ่นอายแบบเดิมๆ แต่เพลงแบบอัลเทอเนทีฟร็อคที่ใช้มาตั้งแต่ภาคต้นฉบับก็ทำให้ประสบการณ์ของเราเต็มอิ่มมากทีเดียวด้วยมิติของเพลงที่เพิ่มเข้ามาเช่นเสียงไวโอลิน หรือจังหวะที่ปรับเปลี่ยนเป็นต้นครับ

และข้อสุดท้ายเสียงประกอบที่ขาดไปจาก Silent Hill ไม่ได้ก็คือเสียงซ่าของวิทยุที่จะทำให้เรารู้ว่ารอบตัวนั้นมีภัยหรือเปล่า ถ้าเราใช้ 3D Audio ในหูฟังที่รองรับจะยิ่งเข้าถึงอารมณ์มากขึ้นเพราะมันตอบสนองตามการหันหน้าแบบจริงๆ ช่วยให้เราครีปปี้ยิ่งไปกว่าเดิม ทั้งนี้แม้เสียงเพลงและดนตรีประกอบจะทำได้ดีมากด้วยเพลงในความทรงจำฉบับปรับปรุงและการนำเสนออารมณ์ร่วม ทว่าผมรู้สึกขัดใจเสียงพากย์ในบางจุด ความรู้สึก unsettling มันดูจางลงไป เช่น Maria เองก็ดูจะเป็นคนที่มีบุคลิกที่ยั่วเร้าตลอดเวลา จุดนี้อาจเปลี่ยนการตีความให้ Maria ไม่ได้มีวิญญาณของ Mary ที่เคยกลัวความตาย กลัวการอยู่คนเดียวที่มากพอ ไม่มีการใส่อารมณ์ความโกรธใดๆ (ที่เป็นอาการสุดท้ายก่อนเสียชีวิตของ Mary ร่างต้น) เอาเป็นว่าขอให้ความเคารพผู้กำกับในส่วนที่ต้องการสื่อแล้วกันครับ ทั้งนี้ Luke Roberts ทำหน้าที่เป็น James ได้ดีมาก แบบที่ว่าเป็นตัวเอกที่โดดเด่นในโลกวิดีโอเกมของปีนี้เลยจริงๆ ครับ

บทสรุป

Silent Hill 2 ได้พิสูจน์ตนเองถึงการกลับมาได้อย่างสมฐานะ และไม่เพียงแค่นั้น สำหรับทีมพัฒนาอย่าง Bloober Team เองผมก็มองว่าพวกเขาได้สำเร็จการศึกษาไปอีกขั้นหนึ่งด้วยงานสเกลที่ยิ่งใหญ่กว่าผลงานเก่าๆ ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงที่เราพยายามทำตามสัญญาของ James และ Mary ที่ให้ไว้มันมีแต่ความรู้สึกตื่นเต้นแบบที่ไม่มีจุดแผ่วกันเลยทีเดียว หากจะมีจุดไม่ถูกใจผมคิดว่าเรายังขาดเรื่องราวจากในมุมของ Maria อย่าง Born from a Wish ที่น่าจะทำให้ทุกคำถามมีคำตอบที่ชัดเจนขึ้น

ท้ายที่สุดพวกเราก็ต้องขอขอบคุณ Konami อีกครั้งสำหรับตัวเกมที่พวกเรานำมารีวิวกันในวันนี้ และถ้าเกิดว่าใครสนใจก็ขอบอกเลยว่า Silent Hill 2 เวอร์ชันรีเมคได้วางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วบน PlayStation 5 และ PC ทั้งในรูปแบบมาตรฐานและรูปแบบเดอลุกซ์ซึ่งจะมาพร้อมกับสกินพิเศษ ส่วนโอกาสหน้า ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปันบ้างนั้นว่าแล้วอย่าลืมติดตามกันที่นี่เช่นเคยเพื่อไม่ให้พลาดความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ก่อนใคร