เทคโนโลยี

[รีวิว] iPhone SE 3 ชิปเซ็ตระดับเรือธง

เล่นเกมได้ไม่มีสะดุด มาพร้อมดีไซน์เดิมเพิ่มเติมคือ 5G

เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ Apple ได้ทำการปล่อย iPhone SE (2020) หรือเราจะเรียกว่ารุ่นที่ 2 ก็คงไม่ผิดนัก มาในปี 2022 ทาง Apple ได้ทำการเปิดตัวรุ่นใหม่ออกมาในชื่อ iPhone SE 3 รุ่นอัปเกรดที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงภายในไปอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขายังคงความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของการออกแบบภายนอกเอาไว้เช่นเดิม ชนิดที่ว่าหากไม่บอกกันก็ไม่มีทางรู้แน่นอนว่าเป็นรุ่นใหม่ ว่ารุ่นใหม่ประจำปี 2022 จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้างเราไปหาคำตอบกันเลย

Design

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหากไม่บอกก็ไม่น่าจะมีใครรู้ว่าเรากำลังถือ iPhone SE 3 อยู่ภายในมือ เนื่องจากภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้นทุกเหลี่ยมมุมของตัวเครื่อง แม้กระทั่งในหน้าสเปคแบบนำมากางเทียบกันจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Apple ยังมีอัตราส่วนที่เท่ากันด้วย

image 261

สำหรับอัตราส่วนของเครื่องจะอยู่ที่ 67.3 x 138.4 x 7.3 มิลลิเมตร สิ่งที่รุ่นใหม่ทำได้ดีกว่าคือเรื่องของน้ำหนักตัวเครื่อง ที่ครั้งนี้มีน้ำหนักที่หายไป 4 กรัม อยู่ที่ 144 กรัมจากเดิมรุ่นก่อนมีน้ำหนัก 148 กรัม

วัสดุที่ใช้งานรอบตัวเครื่องเป็นการนำวัสดุอย่างกระจกมาผสานเข้ากับอะลูมิเนียมทำให้ได้ตัวเครื่องที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนพอตัว มาตรฐานที่ได้รับเป็น IP67 อยู่ได้นาน 30 นาทีภายใต้เงื่อนไขที่ระดับน้ำไม่เกิน 1 เมตร

image 262

สีของตัวเครื่องที่เราได้ทำการทดสอบในครั้งนี้เป็นสีมิดไนท์จะบอกว่าดำก็ไม่ดำเสียทีเดียว ให้รายละเอียดของสีออกโทนน้ำเงินเสียมากกว่าโดยเฉพาะหากโดนส่องด้วยแสงสว่างแล้วด้วยจะพบว่ามีสีที่เห็นได้เด่นชัด

image 263

ด้วยความที่ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นแบบใช้งานเป็นวัสดุแบบกระจกเคลือบเอาไว้แถมเป็นผิวแบบ glossy ทำให้เลี่ยงไม่ได้หากใช้งานโดยที่ไม่ได้ใส่เคสด้วยจะทิ้งร่องรอยนิ้วมือเอาไว้ หากเป็นสภาวะปกติที่มือไม่ได้เปียกชุ่มไปด้วยอะไร อาจจะไม่ก่อให้เกิดรอยมากนัก แต่กลับกันจะเห็นได้ชัดพอสมควร

image 264

พูดถึงด้านหลังแล้วก็ขอแวะไปที่กล้องด้านหลังที่ติดมากับตัวเครื่อง ซึ่งยังคงเป็นกล้องความละเอียด 12MP ตัวเดียว พร้อมไฟแฟลชแบบ true tone ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งหากพูดเรื่องสเปคภายนอกโดยไม่ดูรายละเอียดเชิงลึกอะไร มันก็แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมนัก

image 265

มาดูที่รอบตัวเครื่องกันบ้างที่ด้านขวาของตัวเครื่องเป็นปุ่ม Power ถัดมาเป็นช่องสำหรับใส่ซิมการ์ด แน่นอนว่าความพิเศษของ iPhone SE 3 หนีไม่พ้นการรองรับการใช้งาน 5G ซึ่งนี่เป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงไปภายในที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากภายนอก

image 266

ด้านซ้ายของตัวเครื่องเป็นตัวควบคุมการเปิด/ปิดเสียงของตัวเครื่อง ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง ขณะที่ด้านล่างเป็นลำโพงตามแบบฉบับของทาง Apple และพอร์ต Lightning ไม่ต้องถามหารูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรเพราะรุ่นก่อนก็ไม่มีเช่นกัน

image 267

ด้านหน้าของตัวเครื่องมาพร้อมกับจอแสดงผล 4.7 นิ้ว เล็กกะทัดรัดจอแสดงผลยังคงใช้งานเป็นแบบ Liquid Retina แม้ว่าบางส่วนอาจจะมองว่าเป็นจอที่ดูล้าสมัยไปแล้วแต่ด้วยความที่มันอยู่บนหน้าจอที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ลงตัวไม่น้อย

image 268
image 269

ที่ด้านบนเป็นกล้องหน้าความละเอียด 7MP รองรับการใช้งาน FaceTime แต่เรื่องของ Face ID ตัดทิ้งไปได้เลย ไม่ต้องห่วงเรามี Touch ID พร้อมปุ่ม Home อันเป็นที่รักให้ใช้งานกันได้แบบ non-stop หมดปัญหาสแกนหน้าไม่ได้เพราะใส่แมสก์

image 270

อุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องประกอบไปด้วยตัวเครื่อง ที่จิ้มซิม และสายชาร์จ ส่วนใครที่มองหาหูฟังและที่ชาร์จอันนี้ไม่ต้องเสียเวลาหา เพราะเข้าโครงการรักษ์โลกลดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทาง Apple นั่นเอง

image 271
image 272

Display

ถ้าเกิดว่าใครที่ชื่นชอบตัวเครื่องที่มาพร้อมกับขนาดตัวเครื่องที่ไม่ใหญ่มากน่าจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน หน้าจอขนาด 4.7 นิ้วใน iPhone SE 3 เป็นขนาดมาตรฐานที่เราสามารถค้นพบได้ใน iPhone รุ่นก่อน ๆ เมื่อสักราว 7 ปีที่แล้วใน iPhone 6

image 273

ช้าก่อนเราไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นอะไรที่แย่อะไรขนาดนั้น แต่ด้วยกระแสของการใช้งานสมาร์ทโฟนในช่วงหลังค่อนข้างที่จะเน้นหนักไปทางตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6 นิ้วเป็นต้นไป ทำให้กลุ่มผู้ที่จะชื่นชอบหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ใช้งานตัวเครื่องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากอยู่แล้ว และต้องการอัปเกรดมาสู่ขุมพลังใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งเจ้ารุ่นนี้ตอบโจทย์ครบ

image 274

ใครที่สงสัยว่าค่า refresh rate ของหน้าจอตัวเครื่องอยู่ที่เท่าไร คำตอบมันช่างง่ายดายเสียเหลือเกินเพราะมีค่าพื้นฐานที่ 60Hz ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ใช้งานหรือไม่ ? เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่ใช้งาน ส่วนตัวมองว่าด้วยหลาย ๆ ปัจจัยไม่ใช่เรื่องแปลกที่รุ่นนี้จะมีค่าแสดงผลที่ 60Hz

image 275

ตัวจอรองรับการใช้งานฟีเจอร์แสดงผลแบบ true tone ที่จะช่วยปรับการแสดงผลให้เหมาะกับองค์ประกอบโดยรอบ การใช้งานกลางแจ้งยังคงเป็นอริกับเครื่องกลุ่มนี้ของทาง Apple อยู่เช่นเดิม ถามว่ามันสู้แดดไม่ได้หรือไม่ คงไม่ขนาดนั้นเพียงแค่ว่าอาจจะอยู่ในระดับที่มองเห็นได้ แต่หากใช้งานไปสักพักอาจจะต้องเพ่งกันเสียหน่อย ฉะนั้นการใช้งานในพื้นที่ทั่วไปภายในอาคารน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด (ซึ่งสมาร์ทโฟนแทบจะทุกรุ่นก็มีประเด็นแบบเดียวกัน)

image 276

สิ่งที่ควรทราบอีกอย่างคือแม้ว่าตัวเครื่องจะเป็นการใช้งานกระจกร่วมกับอะลูมิเนียมมาเป็นส่วนประกอบ แต่ตัวกระจกไม่ได้ใช้งานเป็นแบบ Ceramic Shield ที่ทนทานต่อทุก ๆ สิ่งที่จะเข้ามาสัมผัสกับตัวเครื่อง ฉะนั้นหากเป็นไปได้แนะนำว่าควรที่จะใส่เคสระหว่างการใช้งานจะดีที่สุด

Performance

นี่แหละคือหัวข้อที่ต้องพูดถึงเพราะว่าสเปคภายในตัวเครื่อง iPhone SE 3 มาพร้อมกับการอัปเกรดที่เรียกว่าใหม่ที่สุดที่สามารถหาได้จากสมาร์ทโฟนของทาง Apple (ไม่นับพวกชิปเซ็ตตระกูล M ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์กลุ่มนี้) อย่างการได้ชิปเซ็ต A15 Bionic แบบเดียวกับที่อยู่ใน iPhone 13 มาใช้งาน

image 277

ทำให้ตอนนี้จะบอกว่า iPhone SE 3 เป็นสมาร์ทโฟนขนาดกะทัดรัดที่ทรงพลังมากที่สุดในตอนนี้ และเชื่อว่าน่าจะลากยาวไปได้อีกนานพอควรกับตำแหน่งตัวที่ได้รับ ส่วนแรมที่ได้มาภายในตัวเครื่องอยู่ที่ 4GB เกินพอสำหรับสมาร์ทโฟนที่ใช้งานระบบ iOS

เราไปเทียบกันให้เห็นภาพเลยดีกว่าว่าเจ้าชิปเซ็ตที่อยู่ภายในตัวเครื่องหากนำไปเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ภายในรุ่นพี่อย่าง iPhone 13 Pro Max จะให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างไร โดยเราจะมาไล่เรียงกันจาก 4 แอปพลิเคชันทดสอบตัวเครื่องอย่าง AnTuTu, Geekbench 5, Geekbench ML และ 3DMark

image 278
image 280
image 281
image 282

จากการทดสอบเราพอจะบอกได้ว่าในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องหากมองที่คะแนนอย่างเดียวดูจะมีช่องว่างให้เราได้เห็นกันอยู่บ้าง แต่ต้องไม่ลืมว่า iPhone 13 Pro Max มีแรมมากับตัวเครื่องถึง 6GB ในภาพรวมหลังการทดสอบและผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าพอใจอย่างมาก กับราคาที่มีส่วนต่างกันมากเหลือเกิน (วัดเฉพาะแค่ด้านประสิทธิภาพการทำงานของชิปเซ็ตเท่านั้น)

image 283
image 284

ถัดมาเป็นเรื่องของการเล่นเกมเราได้ทำการหยิบเกมที่ขึ้นชื่อว่ามาก่อนกาลอย่าง Genshin Impact มาทดสอบ เมื่อเข้าไปภายในเกมค่าพื้นฐานที่ตัวเกมเลือกเอาไว้ให้จะเป็นค่ากราฟิกแบบ high สิ่งที่เราปรับในการทดสอบครั้งนี้คือเรื่องของเฟรมเรทที่ดันขึ้นไปใช้งานที่ 60 แทน

image 285

ผลลัพธ์ที่ได้ในแง่ของการแสดงผลภายในเกมแทบจะไม่มีอาการสะดุดให้เราได้เห็น แต่ … สิ่งที่รู้สึกได้หลังจากที่ทำการเข้าเกมได้ไม่ถึง 5 นาทีคงเป็นเรื่องของความร้อนสะสมภายในที่ดูจะเด่นชัดขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ โดยความร้อนจะหนักที่สุดบริเวณด้านหลังส่วนบนของตัวเครื่อง แล้วความร้อนส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพการแสดงผลในเกมหรือไม่ คำตอบคือมีบ้างแต่ไม่ได้น่าเกลียดถึงขนาดที่เฟรมเรทตกจนเล่นไม่ได้ สิ่งที่น่าเป็นกังวลกว่าคือจะถือเล่นยังไงให้ได้เกิน 30 นาที

image 286

อีกหนึ่งเกมที่ได้นำมาทดสอบคือ Marvel Future Revolution อีกหนึ่งเกมที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก น่าสนใจตรงที่ความร้อนหลังจากที่เปิดเกมและเล่นไปได้สักระยะอยู่ในระดับที่สามารถเล่นได้ คือรู้สึกถึงไออุ่นแต่ไม่ได้กวนใจเหมือนกับ Genshin Impact ในเกมนี้สามารถเล่นได้ไม่มีอาการสะดุดใด ๆ ให้ได้เห็น

image 287

ที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่องมีให้เลือก 3 ขนาดเริ่มที่ 64GB, 128GB และ 256GB โดยรุ่นที่เราได้ทดสอบอยู่ในตอนนี้เป็นรุ่นที่มาพร้อมกับที่เก็บข้อมูล 256GB เหลือ ๆ สำหรับการติดตั้งเกมและใช้งานในแต่ละวัน

image 288

ในภาพรวมการเปลี่ยนมาใช้งานชิปเซ็ต A15 Bionic ในครั้งนี้ช่วยยกระดับการใช้งานในสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถ่ายภาพ ที่ทำให้มีการเลือกใช้งาน AI เบื้องหลังช่วยประมวลผลในการถ่ายได้ดีขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานตัดต่อเล่นเกมที่ยกระดับชัดเจน แต่เราก็น่าจะพอเห็นได้ว่าข้อจำกัดของเครื่องอยู่ที่ส่วนใด

Battery

ตัดเรื่องของขนาดแบตเตอรี่ภายในออกไปเพราะเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ ทาง Apple ได้เผยว่าตัวเครื่อง iPhone SE 3 รุ่นนี้สามารถที่จะใช้งานได้สูงสุด 15 ชั่วโมงหากเป็นการรับชมวิดีโอ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์จริงที่ได้จากการทดสอบจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ให้ทุกคนตัดสินใจเอาเองเนื่องจากขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน

image 289

ผลลัพธ์ที่เราได้จากการใช้งานพบว่าหากเป็นการเล่นเกมโหด ๆ อย่าง Genshin Impact รับรองได้เลยว่าแบตเตอรี่คุณจะอยู่ได้ไม่ถึงยันเย็น จากการทดสอบประสิทธิภาพตัวเครื่องแบบต่อเนื่อง 4 แอปพลิเคชันข้างต้น เริ่มตอนแบตเตอรี่ราว 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 15 นาที แบตเตอรี่ลดลงมาเหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องบอกว่านี่เป็นการใช้งานแบบไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำวัน

การใช้งานจริงเริ่มขึ้นตอนเช้าแบตเตอรี่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ มาดูกันอีกทีตอนเย็นพบว่าแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 30 – 40 เปอร์เซ็นต์ โดยการใช้งานเป็นการเล่นโซเชียลปกติ เช็คข่าวสาร ดูคลิปผ่าน YouTube เช็คชื่อในเกมเล็กน้อยเพื่อเอารางวัล ถือว่าน่าพอใจกับตัวเลขที่ได้

image 290

ระยะเวลาในการชาร์จค่อนข้างที่จะทำได้ดีไม่เลย แบตเตอรี่จาก 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปที่ 80 เปอร์เซ็นต์ใช้ระยะเวลาไม่ถึง 30 นาที และหลังจากนั้นจะเริ่มชาร์จได้ด้วยความเร็วที่ลดลง (ในส่วนนี้คงเป็นเรื่องของการรักษาคุณภาพภายในแบตเตอรี่) ตัวเครื่องรองรับการใช้งานชาร์จไร้สายผ่าน Qi แต่น่าเสียดายที่ MagSafe ไม่สามารถใช้งานได้

Camera

เรื่องของกล้องแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาแต่มันก็ดูจะไม่มากพอที่จะช่วยทำให้มันกลายมาเป็นจุดเด่นที่จะเอาชนะสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มาพร้อมกับเลนส์หลากหลายประเภท เพราะ iPhone SE 3 มาพร้อมกับกล้องหลังตัวเดียวแบบ wide angle ความละเอียด 12MP f/1.8 สิ่งที่เพิ่มเข้ามาอีกคือฟีเจอร์ Deep Fusion และ Smart HDR 4 นอกจากนี้ยังมีของเล่นใหม่ที่เรียกว่าสไตล์ภาพถ่าย (เอาให้เข้าใจง่ายก็คือฟิลเตอร์ที่พร้อมใช้งานนั่นแหละ)

image 291
image 292

ขณะที่กล้องหน้ามีการอัปเกรดฟีเจอร์มาให้ใช้งานแบบเดียวกันกับกล้องหลัง ด้วยความละเอียดกล้องที่เท่าเดิมกับรุ่นก่อนที่ 7MP f/2.2 ที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างสำหรับกล้องหน้าคือการถ่ายสโลว์โมชั่นที่ความละเอียด 1080p 120 fps

image 293
image 294
image 295

อีกจุดเด่นที่น่าสนใจคือการถ่ายวิดีโอแบบ 4K 60fps พร้อมกับเพิ่มฟีเจอร์ไทม์แลปส์ในโหมดกลางคืนเข้ามาให้ใช้งานพร้อมระบบกันสั่นแบบ OIS ซึ่งหากใครจะถ่ายวิดีโอด้วยความละเอียดสูงสุด แนะนำว่าเลือกรุ่นความจุ 256GB จะดีที่สุด

Conclusion

image 296

บทสรุปของ iPhone SE 3 ต้องยอมรับว่าเป็น iPhone ที่คุ้มค่าที่สุดในตอนนี้หากวัดกันที่เรื่องของสเปคที่ใช้งานภายในเพียงอย่างเดียว มีทุกอย่างให้เราได้ใช้งานครบทั้งชิปเซ็ต A15 สุดแรงหาใครเทียบและการรองรับการใช้งาน 5G ที่กลายมาเป็นรุ่นถูกที่สุดของทาง Apple ที่รองรับ แม้จะมีจุดให้พิจารณาและอาจไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานบางส่วน แต่กับราคาเริ่มต้น 15,900 บาทไปจบที่ 21,900 บาท ถือว่าเป็นตัวเลือกอยากได้ประสิทธิภาพที่มีอยู่ภายในเครื่อง

ข้อดี

• มาพร้อมกับการอัปเกรดภายในครั้งใหญ่ได้ชิปเซ็ต A15 มาใช้งาน

• ขนาดกะทัดรัดเป็นตัวเลือกเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบอะไรที่พกพาง่าย

• รองรับการใช้งาน 5G อันเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานหลายคนรอคอย

• การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ทิ้งความเป็น Apple

• หาไม่ได้อีกแล้วกับเครื่องขนาดนี้ที่สามารถตอบสนองกับการถ่ายภาพได้ดี

• ถือใช้งานได้ง่ายด้วยมือเดียวแบบไม่มีปัญหา

ข้อสังเกต

• หน้าจอขนาด 4.7 นิ้วอยู่ได้ทั้งข้อดีและข้อสังเกตที่ว่าในยุคนี้มันอาจจะไม่เหมาะกับกลุ่มคนส่วนใหญ่แล้ว

• กล้องตัวเดียวทำให้ขาดเลนส์ประเภทอื่นที่เหมาะกับการใช้งานในทุกสถานการณ์

• ความร้อนสะสมของตัวเครื่องที่น่าจะเป็นประเด็นเมื่อใช้งานหนัก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : [คลิก]

คลิปแกะกล่องรีวิวจากทีมงาน This is Game Thailand

IFrame

Artherlus

แค่คนทั่วไปที่หลงใหลในวงการไอที
Back to top button