เรียกได้ว่ายังคงเอาไว้ซึ่งความนิยมไม่เสื่อมคลายสำหรับการมาถึงของ iPhone 13 ที่มักจะได้เห็นร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่คนล้นทะลัก และในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ทำการทดสอบ iPhone 13 Pro Max เรือธงของรุ่น ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพและราคาที่เร้าใจ … ว่าแต่จะมีอะไรที่น่าสนใจ และจะยังคงไว้ซึ่งเครื่องสำหรับการเล่นเกมในทุก ๆ ปีหรือไม่เราไปดูกัน
Design
iPhone 13 Pro Max มาพร้อมกับขนาดของตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.65 มิลลิเมตร พร้อมกับน้ำหนักตัวเครื่องที่ 238 กรัม คงต้องบอกกันตามตรงว่าเป็นขนาดที่ค่อนข้างจะใหญ่ แต่การใช้งานด้วยมือข้างเดียวเป็นอะไรที่ทำได้ยากอย่างมาก โดยเฉพาะสาว ๆ ที่กำลังเล็ง ๆ รุ่นนี้อยู่อาจจะต้องไปลองสัมผัสตัวเครื่องก่อนว่าจะรับได้หรือไม่ น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นเดียวกันในปีก่อน 12 กรัม
ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นส่งผลให้เวลาที่จะใช้งานตัวเครื่องก็ต้องระวังกันเป็นพิเศษ เพราะถ้าเผลอกล้ามเนื้อที่มือดันอ่อนแรงขึ้นมากะทันหัน อาจจะทำให้สมาร์ทโฟนมูลค่าเกือบครึ่งแสนเสียหายอย่างไม่ตั้งใจได้
แน่นอนว่าในงานเปิดตัวสิ่งที่ได้รับการพูดถึงกันอย่างมาก แต่ไม่ได้เป็นเรื่องดีคือการที่ยังคงมีการใช้งานพอร์ตการเชื่อมต่อ Lighning อยู่เช่นเดิม แต่ถามกันตรง ๆ ว่าเป็นปัญหากับผู้ใช้งานที่ซื้อไปหรือไม่ ? ก็คงจะไม่ขนาดนั้น เนื่องจากเป็นพอร์ตที่มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน ถ้าเกิดเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C เลยนี่สิอาจจะได้รับผลกระทบกันก็เป็นได้
การออกแบบในภาพรวมยังคงเอาไว้ซึ่งกลิ่นอายของ iPhone 12 Pro Max สิ่งที่ดูจะแตกต่างไปคือขนาดของรอยบากที่มีขนาดเล็กลง ขณะที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับเลนส์กล้อง 3 ตัว ที่มีการอัปเกรดประสิทธิภาพให้น่าใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก
ความพิเศษที่ถูกใส่เข้ามาอีกอย่างคือการรองรับมาตรฐาน IP68 มั่นใจได้เรื่องของเหลวและอื่น ๆ เช่นเดียวกันที่หน้าจอมีการใช้งาน Ceramic Shield เพิ่มความทนทาน (ว่าแต่ใครที่ใช้โดยไม่ใส่เคสน่าจะต้องใจเด็ดพอตัว)
Display
หน้าจอที่ใช้งานภายใน iPhone 13 Pro Max ยังคงมีขนาด 6.7 นิ้ว พาจอแบบ OLED ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล รองรับการแสดงผลแบบ HDR พร้อมระบบ TrueTone ที่ช่วยปรับสภาพของหน้าจอให้เหมาะสมกับการใช้งาน
มีการเพิ่มค่าความสว่างสูงสุดจากเดิมที่ 800 nits ขยับขึ้นมาอีก 200 เป็น 1000 nits ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ผู้ใช้งานไม่มีปัญหาเวลาที่ต้องเจอกับการใช้งานกลางแจ้งหรือพื้นที่ที่คิดว่าจะมีปัญหา
ความพิเศษที่ถูกเพิ่มเข้ามาเป็นครั้งแรกในตระกูล iPhone ก็คือการรองรับการแสดงผล Refresh Rate 120Hz ที่จะแตกต่างจากสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ๆ หน่อยตรงที่เราปรับตั้งค่าในส่วนนี้เองไม่ได้ แต่ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันจะเป็นคนที่กำหนดการทำงานในส่วนนี้เอง
แน่นอนว่าการใช้งานผ่าน Facebook หรือ Safari มีการเพิ่มในส่วนนี้เข้ามาให้ใช้งาน ทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนของการมีและไม่มี
และหนึ่งในข้อเสียเวลาที่เราได้ลองใช้งานหน้าจอที่รองรับการแสดงผล 120Hz แล้วคงต้องบอกว่ามันยากที่จะกลับไปใช้งานเครื่องที่รองรับการแสดงผล 60Hz (iPhone รุ่นก่อน ๆ นั่นแหละ …) แต่ถ้าถามว่ามันจำเป็นขนาดที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้เครื่องรองรับ 120Hz หรือไม่ คำตอบอาจจะขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งานเองเสียมากกว่า
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือเวลาที่เราเข้าไปเล่นในเกมต่าง ๆ ที่รองรับจะช่วยทำให้ได้ภาพที่ต่อเนื่องและเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการปัดหน้าจอขึ้นลงใน Facebook มันมีความสุขไม่น้อยเลยนะเวลาที่จอเลื่อนอย่างไม่มีสะดุดกับมีอาการสะดุดทั้ง ๆ ที่มันไม่สะดุด (เอ้ะ ! ยังไงกัน)
Performance
ตัวเครื่องมาพร้อมกับการใช้งานชิปเซ็ต Apple A15 Bionic พร้อมกับจำนวนแรมที่มากที่สุดในรุ่นที่ 6GB ถ้าเป็น iPhone 13 รุ่นเริ่มต้นจะมาพร้อมกับจำนวนแรม 4GB ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมา 2GB ถามว่าส่งผลต่อการใช้งานหรือไม่ ก็ต้องตอบตามตรงว่าส่งผลอย่างที่คาดไม่ถึง
ในส่วนของชิปเซ็ต A15 ถึงแม้ว่ามีการใช้งานกระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตรเหมือนกับ A14 แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานของใหม่ย่อมดีกว่าของเก่าเสมอ สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือเรื่องของคอร์การทำงานที่ถูกปรับปรุงเพิ่มขึ้น และการเพิ่มจำนวนคอร์ในส่วนของ GPU เข้ามาอีก 1 คอร์การทำงาน
มาดูกันที่การทดสอบเล่นเกมกันบ้าง ก่อนอื่นเราควรจะมีสักเกมที่รองรับการเปิดโหมดเฟรมเรทสูงในระดับ 120FPS ได้และเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่เกมอย่าง Genshin Impact พึ่งจะทำการอัปเดตโหมดดังกล่าวเข้ามาให้กับ iOS ได้ใช้งานกัน ทำให้เราได้เห็นถึงข้อแตกต่างที่เทียบกันได้แบบเห็นได้ชัด
ความต่อเนื่องของภาพที่ถูกเพิ่มเข้ามาในจอที่รองรับ 120Hz ช่วยให้การเล่นเกมมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่เกนชินก็ยังคงเป็นเกนชิน ถ้าเกิดทำการเปิดใช้งาน Motion Blur ขึ้นมาในระดับ High จะสัมผัสได้เลยถึงอาการกระตุกไม่ต่อเนื่องเวลาหมุนกล้องไปมา แต่หากปิดไปและตั้งค่าอย่างอื่นสูงสุดจะพบว่าชิปเซ็ตที่ใช้งานตัวนี้เอาอยู่ แต่ …
สิ่งก่อตัวขึ้นหลังจากที่ผ่านไปเพียง 1 นาทีคือความร้อนที่สัมผัสได้จากบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของตัวเครื่องท่อนบน ถามว่ามันร้อนขนาดที่ถือเล่นไม่ได้หรือไม่ อาจจะไม่ขนาดนั้น เรียกว่าอุ่น ๆ จะดีกว่า แต่เล่นไปนาน ๆ ก็จะขยับระดับจากอุ่นขึ้นมาเป็นค่อนข้างอุ่น แต่ยังไม่พบอาการที่ถึงกับร้อนจนไม่สามารถถือเล่นได้
ขณะเดียวกันในการเล่นเกมอื่น ๆ ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ถ้าเกิดว่าผ่านเกนชินไปได้เกมอื่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะต้องยกมาพูดถึงกัน จะ PUBG, RoV หรือ Black Desert ก็เอาอยู่หมดด้วยการปรับสุดในแต่ละเกม
ข้อได้เปรียบที่ทำให้ iPhone 13 Pro Max มีเหนือกว่ารุ่นเริ่มต้นในเรื่องของแรมที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 6GB ส่งผลให้เราสามารถที่จะเปิดสิ่งต่าง ๆ พร้อม ๆ กันสลับไปมาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องโหลดใหม่ จากการทดลองเปิดทุกอย่างข้างเอาไว้ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ก็ไม่พบอาการโหลดใหม่ของแอปพลิเคชันที่ใช้งาน จะมีก็แค่บางเกมที่หากเราสลับไปใช้งานแอปพลิเคชันอื่น ๆ เป็นเวลานาน ตัวเกมจะหลุดจากการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ทำให้โหลดใหม่นั่นเอง
Battery
นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ต้องบอกว่าเป็นจุดเด่นของตัวเครื่องก็ว่าได้สำหรับแบตเตอรี่ที่มีอยู่ภายใน iPhone 13 Pro Max ด้วยขนาดของตัวเครื่องที่ถูกทำให้หนาขึ้นพร้อมกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทาง Apple สามารถที่จะเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่เข้าไปได้อีกเล็กน้อย แต่มันก็มากเพียงพอที่จะทำให้สามารถพูดได้ว่าตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ที่อึดไม่น้อยหน้าใคร ในการใช้งานประจำวันเราอาจจะเป็นกังวลกับปัญหาของ iPhone สมัยก่อนที่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันแบตเตอรี่ก็ไหลลงมาเกือบจะครึ่งแล้ว
แต่สำหรับปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับรุ่นนี้อย่างแน่นอน ยิ่งถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ใช้งานมันหนักชนิดที่ว่าเล่นเกมตลอดทั้งวัน สามารถที่จะตื่นขึ้นมายามเช้าแล้วเมื่อผ่านไปครึ่งวันจะพบว่า แบตเตอรี่ของคุณมันยังไม่ลดลงไปแตะหลัก 90 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
น่าจะเป็น iPhone รุ่นแรกที่สามารถการันตีได้ว่าแม้จะใช้งานหนักก็มีแบตเตอรี่เหลือเพียงพอตลอดทั้งวันหรือแม้กระทั่งข้ามวันเมื่อจำเป็น ขณะที่การชาร์จอาจจะเป็นข้อด้อยเสียหน่อยสำหรับใครที่ไม่ได้มีอุปกรณ์พร้อมเพราะไม่ได้มีการให้ที่ชาร์จมาให้ มีเพียงสายที่ให้มากับตัวเครื่อง ซึ่งระยะเวลาที่ทาง Apple เคลมเอาไว้เมื่อชาร์จกับอะแดปเตอร์ 20W หรือสูงกว่าจะชาร์จจาก 0 – 50 เปอร์เซ็นต์ได้ใน 35 นาที รองรับการใช้งานร่วมกับ MagSafe เรื่องของการชาร์จอาจไม่ได้เป็นจุดเด่นสวนทางกับแบตเตอรี่ที่ให้มา
Camera
ในทุก ๆ ปีเราจะได้เห็นทาง Apple ทำการเพิ่มสิ่งต่าง ๆ เข้าไปในกล้องของพวกเขาอยู่เสมอและภายในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเลนส์ที่ให้มาภายในเครื่องยังมี 3 ตัวเหมือนกับ iPhone 12 Pro Max ประกอบไปด้วย Wide, Ultrawide และ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือขนาดของรูรับแสงที่ในปีนี้เลนส์ Telephoto จะอยู่ที่ f/2.8 Wide f/1.5 และ Ultrawide f/1.8 เพิ่มกำลังซูมแบบออปติคัลขึ้นมาเป็น 6 เท่าและซูมดิจิทัลสูงสุด 15 เท่า
นอกจากนี้ในส่วนของการถ่ายวิดีโอเองก็มีการเพิ่มโหมดสำหรับบรรดาครีเอเตอร์ได้รับประสบการณ์ในการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มโหมด Cinematic ที่จะทำให้ได้มิติความชัดตื้นในการถ่ายดียิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับการใช้งานกล้องระดับเริ่มต้นในการถ่ายทำเลยทีเดียว ขณะที่กล้องหน้าเองก็รองรับการใช้งานโหมดดังกล่าวเช่นเดียวกัน
Conclusion
บทสรุปของ iPhone 13 Pro Max บอกเลยว่าน่าใช้งานในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ ประสิทธิภาพภายในเครื่อง และแบตเตอรี่ สมควรสำหรับการเป็นเรือธงแม้ว่าราคาอาจจะไม่น่ารักไปเสียหน่อย แต่ถ้าเรามองว่านี่คือ Apple ก็น่าจะเข้าใจได้ สำหรับราคาของตัวเครื่องเริ่มต้นที่ 42,900 บาท และไปสิ้นสุดที่ 62,900 บาท ส่วนรุ่นที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้คือรุ่นความจุขนาด 512GB สนนราคาที่ 54,900 บาท ครับ …
ในส่วนของการเลือกซื้อระหว่างรุ่น Pro และ Pro Max ส่วนต่างที่ห่างกันอยู่ 4,000 บาท ในรุ่นเริ่มต้น สิ่งที่ต่างกันคือขนาดของหน้าจอที่รุ่น Pro จะอยู่ที่ 6.1 นิ้ว และแบตเตอรี่ที่รุ่น Pro จะน้อยกว่าด้วยเช่นกัน ส่วนน้ำหนักรุ่น Pro จะอยู่ที่ 203 กรัม ลดไปจากรุ่น Pro Max 35 กรัม ก็ต้องพิจารณากันเอาเองว่าส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมา ตอบโจทย์กับการใช้งานของตัวเองหรือไม่ แต่ถ้าให้เลือกส่วนตัวอาจจะเลือกรุ่น Pro Max ไปเลยด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่ายิ่งแก่ตัวสายตายิ่งแย่ลง ขออะไรที่มันใหญ่ ๆ เต็มตาเอาไว้ก่อนดีกว่า (^-^)
ข้อดี
– รองรับการแสดงผล 120Hz ช่วยให้ทุกอย่างไม่ดูติดขัด
– ชิปเซ็ตภายในที่ทำการอัปเกรดจากเดิม ส่งผลต่อการทำงานในทิศทางที่ดีขึ้น
– แรมมากขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้การสลับแอปพลิเคชันไปมาไม่มีปัญหา
– แบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลบจุดติที่มีต่อ iPhone มาโดยตลอด
– รองรับการชาร์จร่วมกับ MagSafe
– กล้องที่มีการปรับปรุงให้การถ่ายภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
– เพิ่มโหมดการถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพเข้าไป
ข้อสังเกต
– ขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน
– บางอย่างที่ควรจะมีมาให้ดันหายไป