เทคโนโลยี

Apple อาจดันราคา iPhone รุ่นถัดไป หลังราคา RAM พุ่ง 230%

กดดันต้นทุน iPhone 17 Pro ต่อเนื่องถึง iPhone 18

แม้ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max จะมีการปรับราคาสูงขึ้นไปแล้วในปีนี้ แต่สถานการณ์ขาดแคลน DRAM กำลังกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของ Apple หลังมีรายงานว่าบริษัทต้องจ่ายค่าแรม LPDDR5X ขนาด 12GB ในราคาที่สูงขึ้นถึง 230% ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าน่าตกใจมากและอาจส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างต้นทุนรวมถึงอัตรากำไรของบริษัทในอนาคตอันใกล้

รายงานจากบล็อก yeux1122 และแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมระบุว่า ในช่วงต้นปี 2025 ราคาแรม LPDDR5X ขนาด 12GB เคยอยู่ที่ราว 25–30 ดอลลาร์ต่อชิปเท่านั้น แต่ล่าสุดในช่วงปลายปีราคาได้พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 70 ดอลลาร์อย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันมหาศาลจากตลาดหน่วยความจำโลกที่กำลังตึงตัว แม้ว่า Apple จะขึ้นชื่อเรื่องการบริหารจัดการซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ต้นทุนชิ้นส่วนสำคัญที่เพิ่มขึ้นเกินเท่าตัวเช่นนี้ก็เป็นปัจจัยที่ยากจะหลีกเลี่ยง

แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า สัญญาระยะยาวที่ Apple เคยทำไว้กับยักษ์ใหญ่พาร์ทเนอร์อย่าง Samsung และ SK Hynix กำลังจะหมดอายุลงในเดือนมกราคม 2026 นี้แล้ว ทำให้ Apple ต้องรีบเร่งวางกลยุทธ์รับมืออย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าในปัจจุบัน Samsung มีสัดส่วนการส่งมอบแรมให้ Apple สูงถึง 60–70% และดูเหมือนจะยังไม่มีซัพพลายเออร์รายอื่นที่มีกำลังการผลิตมหาศาลเพียงพอจะเข้ามาเสียบแทนได้ในทันที

apple-iphone-ram-hike-as-surge

หาก Apple ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ไว้ได้เองทั้งหมด มีความเป็นไปได้สูงที่ iPhone 18 ซีรีส์ในปีหน้าอาจจะต้องถูกปรับราคาขายปลีกให้สูงขึ้นอีก โดยเฉพาะรุ่นนี้มีข่าวลือว่าจะมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X แบบ 6 แชนเนล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลด้าน AI ให้ลื่นไหลยิ่งขึ้น ซึ่งการอัปเกรดสเปกสวนทางกับราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น ยิ่งทำให้ต้นทุนต่อเครื่องดีดตัวสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม Apple เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางลดความเสี่ยงด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเองภายในบริษัทให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ชิป A20 และ A20 Pro ที่ใช้สถาปัตยกรรมระดับ 2 นาโนเมตร รวมถึงโมเด็ม 5G รุ่นใหม่รหัส C2 ที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน iPhone รุ่นเรือธงปี 2026 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อชิปจากบริษัทภายนอกอย่าง Qualcomm ที่มักมีราคาสูง

ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าปัญหาการขาดแคลน DRAM นี้อาจจะยืดเยื้อยาวไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2027 เลยทีเดียว ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงแต่ Apple เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ แต่ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายอื่นๆ ทั่วโลกก็อาจต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการยอมลดสเปกแรมลงเพื่อคงราคาเดิม หรือการปรับขึ้นราคาสินค้าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรงเช่นนี้

ที่มา
wccftech

Artherlus

แค่คนทั่วไปที่หลงใหลในวงการไอที
Back to top button