
Apple กำลังจะประกาศการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ที่สื่อต่าง ๆ เรียกกันว่าเป็นการอัปเดต UI ที่สำคัญที่สุดของ iPhone นับตั้งแต่ iOS 7 ในปี 2013 และสำหรับ Mac ก็ถือว่าใหญ่ที่สุดนับจาก macOS Big Sur ในปี 2020 เช่นกัน โดย Mark Gurman ระบุในรายงานล่าสุดว่า การปรับโฉมหน้าตาใหม่นี้จะไม่จำกัดอยู่แค่ iOS หรือ macOS แต่จะถูกนำไปใช้กับระบบปฏิบัติการทุกตัวของ Apple รวมถึง tvOS และ watchOS เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอระหว่างแพลตฟอร์มทั้งหมด
ชื่อเรียกรหัสภายในของโปรเจกต์นี้คือ Solarium ซึ่งคาดว่าได้แรงบันดาลใจมาจากรูปแบบการออกแบบที่เน้นแสงธรรมชาติและการมองผ่านกระจกใส ซึ่งอาจเป็นเบาะแสจาก Apple เองเมื่อพิจารณาจากโลโก้โปรโมต WWDC 2025 ที่แสดงภาพดวงอาทิตย์และแว่นตา AR ไว้เป็นจุดเด่น ตามข้อมูลจาก Gurman ระบุว่า:
“UI ใหม่นี้จะทำให้ระบบปฏิบัติการดู slick และ modern มากขึ้นกว่าเดิม และนำแนวคิดหลายอย่างมาจาก visionOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการบน Apple Vision Pro”
โดยรายละเอียดที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้จาก YouTuber Jon Prosser ชี้ว่า แอป, เมนู, และกล่องโต้ตอบ จะมีมุมโค้งมน มีแถบนำทางแบบลอยตัว (floating translucent navigation) และตำแหน่งของแถบค้นหา (search bar) อาจถูกย้ายไปไว้ด้านล่างของหน้าจอ แทนที่จะอยู่ด้านบนเหมือนเดิม

Gurman อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งานทั้ง iPhone, iPad, Mac, Apple Watch และ Apple TV แม้ว่า visionOS จะได้รับผลกระทบจากการออกแบบน้อยกว่า เพราะมันถูกสร้างมาเพื่อใช้งานบนอุปกรณ์ AR/VR โดยเฉพาะ แต่ก็มีการยืมเอารายละเอียดบางส่วนกลับเข้ามาในระบบปฏิบัติการหลักเช่นกัน เช่น การใช้พื้นหลังโปร่งใส (translucent backgrounds) ไอคอนแอปแบบใหม่ และการเคลื่อนไหวของ UI ที่คล้ายกับ Vision Pro
ในขณะที่ Samsung และ Google โฟกัสในการนำ AI มาเสริมการทำงานของระบบปฏิบัติการในปีนี้ Apple กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป โดย Gurman ระบุว่า WWDC 2025 จะเน้นเรื่องของการออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้เป็นหลัก แทนที่จะนำเสนอฟีเจอร์ AI แบบที่เราเห็นในงาน Google I/O หรือ Samsung Galaxy Unpacked
อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันในหลายด้าน โดยเฉพาะจากคำฟ้องสามคดีที่ยื่นต่อศาลในสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า Apple ล่าช้าในการปล่อยฟีเจอร์ AI ของ Siri และเผยแพร่โฆษณา iPhone 16 ที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถของ Apple Intelligence
นอกจากนี้ Apple ยังต้องเผชิญกับนโยบายทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการผลิต เมื่อประธานาธิบดี Trump ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะเก็บภาษีนำเข้า 25% หาก iPhone ยังคงผลิตในอินเดียแทนสหรัฐฯ